ไทยเสี่ยง ล้าหลังอาเซียน SMEs ขาดนวัตกรรม ธุรกิจใหม่เกิดยาก World Bank เผยทางรอด

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ไทยเสี่ยง ล้าหลังอาเซียน SMEs ขาดนวัตกรรม ธุรกิจใหม่เกิดยาก World Bank เผยทางรอด

Date Time: 20 ก.พ. 2568 14:07 น.

Video

ตลาดหลักทรัพย์ฯ 50 ปี ขยายโอกาสตลาดทุน เปลี่ยนอนาคตด้วยความรู้การเงิน | Money Issue EP.39

Summary

World Bank มองไทยเสี่ยงโตไม่ทันอาเซียน SMEs เข้าไม่ถึงนวัตกรรม ธุรกิจใหม่เกิดยาก แค่กระตุ้นกำลังซื้อไม่พอ ต้องปฏิรูปโครงสร้าง เผย 7 ทางรอด ติดอาวุธธุรกิจไทย หนุนเศรษฐกิจโตระยะยาว

Latest


ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอยู่ในยุคที่เศรษฐกิจไทยขาลง ค่าครองชีพสูงนำรายได้ คนไทยกำลังซื้อแผ่ว พร้อมภาระหนี้สินล้นพ้นตัว พาลทำให้ธุรกิจรัดเข็มขัด ชะลอการลงทุนไปด้วย เพราะกลัวทุนจม ข้อมูลล่าสุดจากสภาพัฒน์ฯ พบว่า GDP ปี 2567 ขยายตัวต่ำกว่าคาดที่ 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในอาเซียน สะท้อนปัญหาโครงสร้างที่ฉุดรั้งศักยภาพการแข่งขันของประเทศ เมื่อ “บุญเก่าเริ่มหมด บุญใหม่ยังไม่มา” เห็นได้ชัดจากภาคการส่งออกที่สินค้าไทยเป็นที่ต้องการในตลาดโลกน้อยลง ส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาคการผลิต

ดังนั้นการกระตุ้นกำลังซื้ออย่างเดียวไม่เพียงพอ เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว เศรษฐกิจไทยจึงต้องการการปฏิรูปโครงสร้างด้านความสามารถในการแข่งขันอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการเสริมแกร่งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มผลิตภาพการผลิตด้วยนวัตกรรมให้ตอบสนองความต้องการตลาดโลก ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ทั้งนี้แม้ในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก โดยเฉพาะการเพิ่มผลิตภาพภาคเอกชน สะท้อนจาก SMEs ที่กลายมามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ โดยเป็นแหล่งจ้างงานที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 69.5% ของการจ้างงานทั้งหมด และสร้างมูลค่าเศรษฐกิจสัดส่วนมากถึง 35.5% ของ GDP อย่างไรก็ตาม

ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยยังขาดการปรับใช้นวัตกรรม ซึ่งทำให้มีส่วนร่วมจำกัดในห่วงโซ่อุปทานโลก ธนาคารโลก (World Bank) ประเมินว่า หากรัฐไม่มีการปฏิรูปนโยบายอย่างเร่งด่วน ประเทศไทยก็อาจต้องเผชิญกับต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูง ท่ามกลางประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่พยายามเร่งพัฒนาตนเองเพื่อก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรม โดยคาดว่าอัตราการเติบโตตามศักยภาพจะลดลงประมาณเหลือ 2.7% ในช่วงปี 2565-2573 จากค่าเฉลี่ย 3.2% ในช่วงปี 2554-2564

SMEs ไทย นวัตกรรมล้าหลังอาเซียน

ปัจจุบันจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ของไทยที่ลงทุนในนวัตกรรมและการยกระดับเทคโนโลยียังมีไม่เพียงพอ ขณะเดียวกันจำนวนผู้ประกอบการที่พยายามบุกเบิกตลาดยังคงมีน้อยโดยเฉพาะในภาคดิจิทัล ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเพิ่มผลิตภาพและขับเคลื่อนนวัตกรรม โดยในปี 2567 ไทยได้คะแนนดัชนีนวัตกรรมโลก (The Global Innovation Index) ที่ 30.71 คะแนน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศภูมิภาคอาเซียนและโอเชียเนีย ซึ่งอยู่ที่ 39.09 คะแนน เนื่องจากมีจุดอ่อนด้านการพัฒนาทุนมนุษย์และการวิจัย

แม้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาโดยรวมของประเทศจะเพิ่มขึ้น แต่การลงทุนด้าน R&D ของภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวอยู่ในบริษัทเพียงไม่กี่แห่ง แม้ในปี 2564 สัดส่วนการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนต่อค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสูงถึง 74% แต่การลงทุนเหล่านี้ยังคงกระจุก

โดยจำนวนธุรกิจเอกชนที่ลงทุนในกิจกรรมด้านการวิจัยและพัฒนายังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 2.9% ในปี 2559 ซึ่งต่ำกว่าประเทศรายได้ปานกลางและประเทศคู่เทียบอื่นๆ นอกจากนี้งานวิจัยที่ดำเนินการในมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยยังไม่สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน

4 อุปสรรคใหญ่ ฉุดรั้ง SMEs

ทั้งนี้ SMEs และผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลัก 4 เรื่อง ได้แก่

1. การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำกัด

ผู้ประกอบการ MSME ไทยยังเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคาร มีแนวโน้มถูกปฏิเสธสินเชื่อบ่อยกว่า และจำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากรของตนเองในการลงทุนมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นอกจากนี้ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ในประเทศไทยยังมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ (เพียง 0.14% ของ GDP) และยังคงมีช่องว่างด้านการสนับสนุนเงินทุนสำหรับธุรกิจในระยะเริ่มต้นที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข

2. การขาดการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะเริ่มต้น เช่น โครงการบ่มเพาะธุรกิจ (Incubator) และโครงการเร่งการเติบโตของธุรกิจ (Accelerator)

3. ทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตที่ไม่เพียงพอ

การประยุกต์ใช้กระบวนการใหม่ๆ และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จำเป็นต้องใช้แรงงานที่มีทักษะ ผลสำรวจจากธนาคารโลกพบว่า แรงงานส่วนใหญ่ของไทยมีทักษะระดับกลางค่อนไปทางล่าง โดยมีสัดส่วนแรงงานทักษะสูงเพียง 14% ต่ำกว่ามาเลเซีย และใกล้เคียงกับเวียดนาม สะท้อนว่าระบบการศึกษาของประเทศไทยไม่ได้ผลิตแรงงานที่มีทักษะที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง

4. อุปสรรคด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะในเรื่องการแข่งขันที่เป็นธรรม การค้า และการลงทุน

7 ทางรอด SMEs ในตลาดโลก

ธนาคารโลกเสนอแนะ 7 แนวทางสำหรับรัฐบาลในการส่งเสริมความสามารถ SMEs ไทย โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1. สนับสนุนการพัฒนาและยกระดับ SME ให้ทันสมัย

ทบทวนโครงการต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างแท้จริง พร้อมขยายช่องทางการเข้าถึงมาตรการ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME ทุกรายรับรู้ถึงการมีอยู่ของโครงการต่างๆ รวมถึงรายละเอียด รูปแบบการสนับสนุน และวิธีการเข้าร่วมโครงการ

2. ใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่มูลค่าโลก เพื่อเพิ่มนวัตกรรมและผลิตภาพ

ประเทศไทยต้องผ่อนปรนข้อจำกัดด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคการค้าบริการ รวมถึงลดข้อจำกัดบริการทางการเงิน ควบคู่ไปกับการใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจในประเทศกับห่วงโซ่มูลค่าโลกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศให้มากขึ้น

3. ผลักดันให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่

ภาครัฐต้องสนับสนุนให้เกิดโครงการบ่มเพาะธุรกิจ (Incubation) และโครงการเร่งการเติบโตของธุรกิจ (Acceleration) ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นที่ต้องการมากกว่าเดิม ควบคู่กับการสนับสนุนด้านการเงิน โดยต้องลดช่องว่างที่เป็นอุปสรรค เพื่อให้มั่นใจว่ามีแหล่งเงินทุนเพียงพอสำหรับส่งเสริมสตาร์ทอัพในทุกระยะของการพัฒนา (ตั้งแต่การคิดค้นไอเดีย การสร้างต้นแบบ การเข้าสู่ตลาด จนถึงการขยายกิจการ) นอกจากนี้ ควรมีการประเมินกฎระเบียบปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาเงินทุนที่มีความเสี่ยง เช่น ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital)

4. เปลี่ยนรูปแบบการวิจัยและพัฒนาให้ตอบสนองตลาด

โดยขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาด้วยอุปสงค์หรือความต้องการของตลาด ทำให้งานวิจัยมีความเชื่อมโยงกับความต้องการภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ส่งเสริมโครงการวิจัยร่วมระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาที่ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนเป็นหลัก แทนที่จะนำโดยสถาบันการศึกษาเพียงฝ่ายเดียว

5. ปรับปรุงเครื่องมือสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา

โครงการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาของภาครัฐจำเป็นต้องได้รับการประเมินใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบการ SMEs ที่จะได้รับการสนับสนุนในการสร้างนวัตกรรมทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องปรับปรุงมาตรการจูงใจทางภาษีสำหรับการวิจัยและพัฒนาให้เรียบง่าย เพื่อเพิ่มความชัดเจนและความสามารถในการคาดการณ์ของภาคธุรกิจ

6. พัฒนาแรงงานให้มีทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง

ครอบคลุมถึงทักษะด้านดิจิทัลและความคิดสร้างสรรค์ ร่วมมือกับภาคเอกชนปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมให้เท่าทันเทคโนโลยี นอกจากนี้ควรเสริมด้วยการดึงดูดแรงงานที่มีทักษะเป้าหมาย เพื่อเติมเต็มช่องว่างทางด้านทักษะที่มีอยู่ในปัจจุบันและในอนาคตระยะสั้นถึงระยะกลาง

7. สร้างการแข่งขันที่เท่าเทียม

ยกเลิกข้อจำกัดในการนำเข้าสินค้าทุนหรือบริการ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภาคธุรกิจ สำหรับเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วตลาดสากล ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นมาใหม่ แต่ควรส่งเสริมการเข้าซื้อและการนำมาปรับใช้ เพื่อผลักดันให้บริษัทต่างๆ แข่งขันพัฒนานวัตกรรม

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 
https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ