เงินบาทอ่อนค่าไว แบงก์ประเมินกรอบเคลื่อนไหว 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จับตาช่วงสงกรานต์ มีโอกาสตลาดการเงินเหวี่ยงตามแรงปะทุสงครามการค้า
กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดของวันนี้ (8 เม.ย.) ที่ระดับ 34.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ (อ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนครึ่ง) ก่อนจะฟื้นกลับมาบางส่วนมาอยู่ที่ 34.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ ณ 12.47 น. ซึ่งยังเป็นระดับที่อ่อนค่ากว่าที่ปิดในประเทศเมื่อวันศุกร์ที่ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ อย่างไรก็ตาม ให้กรอบสัปดาห์นี้ 34.00-35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ
พร้อมกับให้ความเห็นว่า ในช่วงหยุดสงกรานต์ 14-15 เมษายนนี้ จะเป็นช่วงที่ต้องเกาะติดสถานการณ์ค่าเงินอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาจะขึ้นภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้า (Reciprocal Tariffs) ที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เวลา 00:01 น. ของวันที่ 9 เมษายน 2568 (ตามเวลาสหรัฐฯ)
“ตลาดการเงินการลงทุนมีโอกาสเหวี่ยง หลังจากวันหยุดที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกหลุด 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และแรงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ต้องลดดอกเบี้ย ในภาวะที่ตลาดผันผวน และช่วงที่ประเทศไทยหยุดสงกรานต์ จะเป็นสถานการณ์ต่อเนื่องหลังสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีตอบโต้ ดังนั้นแนวต้านต่อไปของอัตราแลกเปลี่ยน 34.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินค่าเงินบาทสิ้นปีอยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ” กาญจนา กล่าว
ด้านรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ให้มุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-35.10 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 34.20 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.85-34.44 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 10 สัปดาห์ ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่
อีกทั้งตลาดหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ ท่ามกลางความวิตกว่านโยบายภาษีศุลกากรที่แข็งกร้าวเกินคาดของประธานาธิบดีทรัมป์จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการค้าโลก โดยเฉพาะหลังจากจีนประกาศตอบโต้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ดิ่งลงและสัญญาดอกเบี้ยล่วงหน้าบ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจต้องเร่งลดดอกเบี้ยในปีนี้ แม้อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นและตัวเลขจ้างงานยังดีเกินคาดก็ตาม การย้ายกระแสเงินทุนสู่แหล่งพักเงินที่ปลอดภัยหนุนเงินเยนสู่ระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 6 เดือน ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 6,971 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตร 14,989 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ ความปั่นป่วนและแรงเทขายครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังคงหนุนค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียรวมถึงเงินบาท และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนสูงขึ้น โดยแผนเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สำหรับคู่ค้า 60 รายของสหรัฐฯ ซึ่งกำหนดอัตราภาษีครอบจักรวาล 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน และอัตราภาษีที่สูงแตกต่างกันไปเป็นรายประเทศ (ไทย 37%) มีผลวันที่ 9 เมษายน สั่นคลอนการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ เตือนว่า Reciprocal Tariff อาจเพิ่มขึ้นอีกหากประเทศต่างๆ ตอบโต้ เพิ่มความเสี่ยงที่สงครามการค้าโลกจะขยายวง ในทางกลับกัน ทรัมป์ระบุว่าเปิดกว้างสำหรับการเจรจาต่อรองกับทุกประเทศ และยินดีที่จะลดภาษีหากคู่ค้าลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ และกำจัดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตาม ท่าทีล่าสุดของทรัมป์ทำลายความหวังเกี่ยวกับการผ่อนปรนมาตรการภาษีในระยะสั้น ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าติดตามสัปดาห์นี้ ได้แก่ เงินเฟ้อเดือนมีนาคมของสหรัฐฯ รวมถึงรายงานประชุมเฟด
สำหรับปัจจัยในประเทศ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 0.84% และหลุดกรอบเป้าหมายธนาคารแห่งประเทศไทย โดยกระทรวงพาณิชย์คาดว่ากลุ่มสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าเกษตรที่ไทยเตรียมนำเข้าจากสหรัฐฯ อาจทำให้ราคาในประเทศลดลง เรามองว่ามีโอกาสสูงขึ้นมากที่ทางการจะลดดอกเบี้ยนโยบายลงขณะที่ไทยเผชิญช็อกทางเศรษฐกิจจาก Reciprocal Tariff ที่รุนแรงเกินคาด ส่วนกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-34.80 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทอ่อนค่าเร็วจากการขึ้น Tariffs ที่ทำให้ sentiment โดยรวมของตลาดการเงินโลกแย่ลง นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ตลาดเอเชียเปิดมาเช้านี้ (8 เม.ย.) กลับมาเป็นบวกได้ นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น ด้าน US Treasury yields กลับมาสูงขึ้น ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 50% หากจีนไม่ยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 34% ต่อสินค้าสหรัฐฯ และเงินเฟ้อไทยเดือนมีนาคม ออกมาที่ 0.84% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และเงินเฟ้อพื้นฐาน 0.86% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ต่ำกว่าตลาดคาดทั้งคู่
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney