เปิด 3 อุตสาหกรรม เจอพิษภาษีทรัมป์ ชงยุทธศาสตร์ทางรอดสงครามการค้าโลก

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เปิด 3 อุตสาหกรรม เจอพิษภาษีทรัมป์ ชงยุทธศาสตร์ทางรอดสงครามการค้าโลก

Date Time: 21 เม.ย. 2568 06:15 น.

Summary

จากการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้เปิดสงครามการค้าโลกรอบใหม่ ด้วยการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้ามายังสหรัฐฯในอัตราสูง ซึ่งทรัมป์เรียกว่า “ภาษีตอบโต้” ได้ทำให้ทั่วโลกต้องปั่นป่วน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบจากพิษภาษีทรัมป์ และหนทางเอาตัวรอดจากสงครามการค้าโลกรอบใหม่

Latest

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคนิวโลว์ 33 เดือน

จากการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้เปิดสงครามการค้าโลกรอบใหม่ ด้วยการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้ามายังสหรัฐฯในอัตราสูง ซึ่งทรัมป์เรียกว่า “ภาษีตอบโต้” ได้ทำให้ทั่วโลกต้องปั่นป่วน เพราะทุกประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐฯ ล้วนแต่โดนภาษีทรัมป์กันถ้วนหน้า

แม้ว่าล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์จะชะลอการเก็บภาษีกับนานาประเทศเป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นจีนที่สหรัฐฯเรียกเก็บทันทีในอัตราสูงลิ่ว แต่ไม่ช้าก็เร็วทุกประเทศ ซึ่งรวมทั้งประเทศไทย ก็ต้องถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่สูงอยู่ดี อันจะส่งผลต่อการส่งออกของแต่ละประเทศ เพราะตลาดสหรัฐฯถือเป็นตลาดใหญ่

“ทีมเศรษฐกิจ” จึงขอนำเสนอ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบจากพิษภาษีทรัมป์ และหนทางเอาตัวรอดจากสงครามการค้าโลกรอบใหม่!!!

ทางรอดอุตสาหกรรมเหล็กไทย

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และแกนนำกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เปิดเผยว่า ด้วยปัญหาเศรษฐกิจและสงครามการค้าโลกจะส่งผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมเหล็กโลก

โดยคาดว่าการผลิตเหล็กดิบ (Crude Steel) ของโลกปี 2568 จะยังอยู่ในภาวะขาลงต่อเนื่องเหลือ 1,846 ล้านตัน ลดลง 1.7% จากปีก่อน หรืออาจแย่กว่านี้ได้อีก และท่ามกลางความไม่แน่นอนและขาลงของความต้องการใช้เหล็กโลกนี้ ประเทศต่างๆจะดำเนินการรักษาผลประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมของประเทศตนด้วยแนวทางที่ต่างขั้วยิ่งขึ้น

นั่นคือ ประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกต้องเร่งการส่งออกสินค้าเหล็กทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก ได้แก่ ประเทศจีนซึ่งได้ส่งออกสินค้าเหล็กปี 2567 มากสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 110.72 ล้านตัน ด้วยทั้งราคาทุ่มตลาดและกลวิธีหลบเลี่ยงต่างๆ การส่งออกสินค้าเหล็กจากจีนยังร้อนแรงต่อเนื่อง

โดยช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 นี้ ประเทศจีนได้เร่งส่งออกสินค้าเหล็กมากถึง 27.43 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 6.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเดือน มี.ค. 2568 ปริมาณสูงมากเป็นประวัติการณ์ถึง 10.46 ล้านตัน

ทั้งนี้ นอกจากประเทศจีนแล้ว ประเทศผู้ผลิตเหล็ก รายใหญ่ของโลกที่น่าจับตามองด้วย ได้แก่ อินเดีย รัสเซีย เกาหลีใต้ ตุรกี บราซิล อิหร่าน และเวียดนาม

ทำให้หลายประเทศทั่วโลกจะเร่งป้องกันดูแลอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศของตน โดยจะใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยง (Anti-Circumvention) มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safe guard) และมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty) เพิ่มขึ้นอีกมาก

ตลอดจนมาตรการอื่นๆที่จำเป็นด้วย ได้แก่ ความเข้มงวดด้านกระบวนการศุลกากร หรือมาตรฐานผลิตภัณฑ์สินค้า เป็นต้น

สำหรับประเทศที่ล่าช้าและไม่กล้าดำเนินการมาตรการจะกลายเป็น “เหยื่อที่เหลือน้อย” ของการทุ่มตลาดสินค้า ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ สินค้าเหล็กซึ่งทั้งอเมริกาและสหภาพยุโรป กล้าใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard)

ในขณะที่บางประเทศ บางภูมิภาคยังไม่ตั้งรับอย่างทันต่อเหตุการณ์ อาเซียนจึงกลายเป็นเป้าใหญ่สุดของสินค้าเหล็กทุ่มตลาดจากจีนปริมาณกว่า 55% ของการส่งออกสินค้าเหล็กทั้งหมดจากจีน

นายนาวาวิเคราะห์ว่า ความต้องการใช้เหล็กของประเทศไทยซึ่งถดถอยลงต่อเนื่องหลายปี ในปี 2568 นี้ยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง สินค้าเหล็กนำเข้ามายังไทยยังมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่า 6% จากปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเหล็กนำเข้าจากจีนเดือน ม.ค. ซึ่งเพิ่มมากถึง 23% เป็นปริมาณกว่า 470,000 ตันต่อเดือน

จึงเสนอว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยเป็น “เหยื่อที่เหลือน้อย” ของการทุ่มตลาดในสงครามการค้าโลก ประเทศไทยต้องปรับตัว ดังนี้

1.) กระบวนการพิจารณาการตอบโต้การทุ่มตลาดของไทยต้องรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ยิ่งขึ้น โดยภาครัฐอย่าตั้งรับเพียงรอให้อุตสาหกรรมภายในประเทศไทยได้รับความเสียหายแล้วยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศจึงเริ่มกระบวนการพิจารณาเท่านั้น ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สามารถทำงานเชิงรุก โดยให้กรมการค้าต่างประเทศเริ่มคำขอเองได้ด้วย ตาม พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ มาตรา 32 “ให้เริ่มดำเนินกระบวนการพิจารณาตอบโต้การทุ่มตลาด เมื่อมีคำขอของกรมการค้าต่างประเทศ หรือของบุคคลหรือคณะบุคคล”

2.) ประเทศไทยต้องกล้าใช้มาตรการทางการค้าอื่นๆที่จำเป็นด้วย ดังเช่น มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) ซึ่งทั้งอเมริกา และสหภาพยุโรป เก็บอากร Safeguard 25% กับสินค้าเหล็กทุกประเภท โดยภาครัฐริเริ่มคำขอมาตรการ Safeguard เองและใช้มาตรการดังกล่าวอย่างแข็งขันต่อเนื่อง 7 ปีมาแล้ว หรือมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty) ซึ่งแม้กฎหมายนี้มีมาแล้ว 26 ปี แต่ประเทศไทยไม่เคยใช้มาตรการนี้เลย

3.) การใช้กลยุทธ์ของประเทศไทยเน้นห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand) ซึ่งแม้ต้นทุนอาจจะไม่ต่ำเท่าสินค้าจีนทุ่มตลาด แต่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจ้างงานภายในประเทศไทย

และ 4.) ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยต้องยึดมั่นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ทั้งด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมตลอดจนขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต่างๆ

ยานยนต์เตรียมรับแรงกระแทก

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าเมื่อปีที่แล้วไทยได้ส่งออกรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนไปยังสหรัฐฯมากเป็นอันดับหนึ่งด้วยมูลค่า 454.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 21.74% จากปี 2566 มีสัดส่วน 13.92% ของยอดส่งออกรถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วน เฉพาะรถจักรยานยนต์ส่งออกกว่า 120,000 คัน มูลค่า 404.27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 23.42%

ทั้งนี้ สัดส่วน 17.07% ของยอดส่งออกรถจักรยานยนต์ ส่วนใหญ่เป็นรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่หรือบิ๊กไบค์ ที่เข้ามาตั้งฐานผลิตในประเทศไทยที่ให้สิทธิประโยชน์ในการเข้ามาผลิตบิ๊กไบค์ในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ เช่น ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ฮอนด้า คาวาซากิ ดูคาติ และไทรอัมพ์

แต่ในมาตรา 232 ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2568 ไม่ได้ระบุชื่อหรือระบุพิกัดศุลกากร 8711 รถจักรยานยนต์สำเร็จรูปจึงจะต้องจ่ายภาษีศุลกากรตามอัตราภาษีศุลกากรต่างตอบแทนที่ 36% ตามประกาศเมื่อวันที่ 3 เม.ย.2568 ซึ่งขอเรียกว่าเป็น อัตราภาษีศุลกากรเฉพาะประเทศที่เรียกเก็บจากทุกสินค้าที่ส่งออกจากประเทศไทยไปสหรัฐฯ ถ้าส่งออกจากเวียดนามก็เสียภาษีศุลกากรในอัตรา 46% ยกเว้นสินค้าเฉพาะที่ได้ประกาศไปแล้ว เช่น สินค้ารถยนต์และชิ้นส่วน สินค้าเหล็ก สินค้าอะลูมิเนียม

การที่รถจักรยานยนต์ต้องเสียภาษีศุลกากรจากเดิม 2.4% เป็น 36% ย่อมทำให้ราคาขายในสหรัฐฯสูงขึ้น จำนวนขายอาจจะลดลงถ้าราคาสูงกว่ารถจักรยานยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ จึงอาจมีการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยไปผลิตในประเทศที่มีอัตราภาษีศุลกากรเฉพาะประเทศที่ต่ำกว่าและมีระบบนิเวศ (eco system) ที่เอื้อต่อการผลิตดีกว่าไทย ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากรเฉพาะประเทศที่กำหนดไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568

การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศเลื่อนการบังคับใช้ออกไป 90 วัน จึงเป็นโอกาสให้หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยได้พิจารณาข้อมูลปัจจัยอะไรที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่พอใจ เช่น อัตราภาษีศุลกากรของประเทศไทยสูงกว่าสหรัฐอเมริกา ฯลฯ โดยร่วมหารือกับเอกชนในแต่ละธุรกิจอย่างต่อเนื่องและตกผลึกก่อนวันเดินทางไปเจรจา

ส่วนการได้รับผลกระทบโดยอ้อมก็คือ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ ประชากรกว่า 320 ล้านคน รายได้ต่อปีกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐฯ มีอำนาจซื้อสูง จึงเป็นประเทศบริโภค

ดังนั้น เมื่ออัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯเรียกเก็บ 25% จากสินค้าเฉพาะก็ดี หรืออัตราภาษีศุลกากรเฉพาะประเทศที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากประเทศต่างๆก็ดี ย่อมทำให้การส่งออกรถยนต์และสินค้าต่างๆของประเทศต่างๆไปยังสหรัฐฯลดลง มูลค่าการค้าโลกลดลง ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งการส่งออกไปสหรัฐฯลดลง

เช่น ประเทศไทยส่งออกทุกสินค้าเมื่อปี 2567 มูลค่า 300,529.46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยส่งออกไปสหรัฐฯ มากสุดเป็นอันดับหนึ่งด้วยมูลค่า 54,956.21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 13.66% จากปี 2566 มีสัดส่วน 18.29% ของยอดส่งออกของประเทศไทย

โดยต่อไปนี้เมื่อการส่งออกไปสหรัฐฯลดลง รายได้ของประชาชนก็จะลดลง ซึ่งจะส่งผลให้สั่งซื้อรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์รวมทั้งรถจักรยานยนต์ สินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมจากประเทศไทยลดลง การขยายงานและการลงทุนทั้งในประเทศคู่ค้าและในประเทศไทยลดลง รายได้คนทำงานลดลง ส่งผลให้รถยนต์และสินค้าอื่นๆขายได้น้อยลง เป็นวัฏจักรเศรษฐกิจถดถอยไปทั่วโลก

ย้ำลั่น “ไม่นำเข้าหมูสหรัฐฯ”

เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรของไทยกลายเป็นอีก “เหยื่อ” ของ “ภาษีทรัมป์” เพราะในอดีตสหรัฐฯเคยเรียกร้องให้ไทยนำเข้า เนื้อหมูจากสหรัฐฯ ทำให้เกิดการคาดการณ์กันว่า สหรัฐฯจะมีข้อเสนอดังกล่าวอีกครั้งในการกดดันไทยครั้งนี้ สร้างความกังวลใจแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศเป็นอย่างมาก

จนนำไปสู่การเข้ายื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และการรวมตัวเกษตรกรทั่วประเทศกว่า 1,000 คน เข้ายื่นหนังสือถึงนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาแก้ปัญหาดุลการค้าสหรัฐฯ เพื่อขอความเห็นใจให้รัฐบาลละเว้นการพิจารณาที่จะนำเข้าสินค้าสุกร ทั้งเนื้อสุกรและเครื่องในเข้ามายังประเทศไทย

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ระบุว่า ปริมาณผลผลิตเนื้อหมูของไทยก็อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับความต้องการบริโภคของประชาชนไม่ขาดแคลน หากปล่อยให้มีเนื้อหมูสหรัฐฯเข้ามา ปริมาณซัพพลายจะเกินกว่าดีมานด์ ส่งผลกระทบไปตลอดห่วงโซ่การผลิต ดังเช่นสถานการณ์หมูเถื่อนที่เกิดขึ้นอย่างหนักในช่วงปี 2564 ทำให้ผู้เลี้ยงต้องสูญเสียอาชีพไปเป็นจำนวนมาก

“ทำไมหมูสหรัฐฯจึงทำลายหมูไทยได้ เหตุผลแรกคือ สหรัฐฯได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด หรือ Economy of Scale เนื่องจากสหรัฐฯมีผลผลิตหมูจำนวนมหาศาล มีพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ของตัวเอง และชาวอเมริกันเลือกรับประทานเนื้อหมูบางชิ้นส่วนเท่านั้น ส่วนที่ไม่ใช้ย่อมถูกทิ้งเป็นขยะ เช่น หัวไหล่ หรือเครื่องใน จึงต้องหาตลาดประเทศต่างๆรองรับ โดยจะขายในราคาต่ำมากๆ เป็นสาเหตุสำคัญให้เกษตรกรไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ และทำให้เกษตรกรต้องขอร้องให้รัฐไม่นำเข้าทั้งเนื้อหมูและเครื่องใน”

ทั้งนี้ ในโลกของการเลี้ยงหมูมีอยู่ 2 ฝั่ง คือฝั่งที่ยอมรับเลี้ยงหมูแบบใช้สารเร่งเนื้อแดง เช่น สหรัฐฯ กับฝั่งที่ไม่ยอมรับ เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของหมูและของผู้บริโภค เช่น สหภาพยุโรป รัสเซีย และไทย

สหรัฐฯเป็นประเทศที่มีกฎหมายไม่ห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดง (แรคโตพามีน) ในขณะที่ไทยโดยกระทรวงเกษตร และสหกรณ์มีกฎหมายห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยง และกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข ห้ามปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์สุกรทุกชนิด และไม่เพียงเนื้อหมูที่จะพบการปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง แต่จะพบตกค้างมากขึ้นในเครื่องใน ซึ่งคนไทยนิยมรับประทานในปริมาณมากใกล้เคียงกับเนื้อหมู

หากผู้บริโภคชาวไทยรับประทานเนื้อสัตว์หรือเครื่องในที่มีสารตกค้างดังกล่าว จะมีผลต่อระบบประสาทและหัวใจ เป็นความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ และแม้จะนำเข้ามาเพื่อผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงกลุ่มสุนัขและแมว ก็ไม่เป็นผลดีกับสุขภาพสัตว์เลี้ยง และเกิดข้อจำกัดในการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปด้วย

สำหรับทางออกในการนำเข้าสินค้าเกษตรนั้น เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูมองว่าหากสหรัฐฯเรียกร้องให้เพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรของเขา การเลือกนำเข้าสินค้าที่เขาผลิตได้มากแต่ไทยขาดแคลน หรือมีผลผลิตไม่เพียงพอ ขณะที่มีความต้องการใช้ในปริมาณมาก ย่อมเป็นทางออกที่ดีสำหรับสองประเทศ

ในที่นี้การนำเข้าพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกากถั่วเหลือง เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะ “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ในแต่ละปีมีความต้องการใช้อยู่ราว 9.2 ล้านตัน แต่ไทยผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน ขณะที่ “กากถั่วเหลือง” มีความต้องการใช้อยู่ที่ 5 ล้านตัน แต่ไทยมีผลผลิตเพียง 2 ล้านตัน

โดยรวมแล้วหากไทยนำเข้าพืชวัตถุดิบ 2 ชนิดนี้เฉพาะส่วนที่ขาดแคลน จะช่วยลดการขาดดุลของสหรัฐฯได้ถึง 84,000 ล้านบาทต่อปี หรือปีละ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็น

เพียงการเปลี่ยนแหล่งกำเนิดพืชอาหารสัตว์มาซื้อจากสหรัฐฯมากขึ้น ไม่กระทบเกษตรกรผู้ปลูกพืชในประเทศไทยแต่อย่างใด.

ทีมเศรษฐกิจ

อ่านคอลัมน์ "สกู๊ปเศรษฐกิจ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ