ปลดล็อกทุกข้อจำกัด

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ปลดล็อกทุกข้อจำกัด

Date Time: 22 ก.ค. 2568 04:10 น.

Summary

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมประจำเดือน มิ.ย.2568 สำรวจโดย ส.อ.ท. ว่ามีค่าเพียง 87.7 น้อยสุดในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2567 เป็นต้นมา จากทั้งหมด 47 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าส่วนใหญ่รวม 35 กลุ่มอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในระดับต่ำกว่าดัชนี 100 หรือไม่ดี

Latest

ตำนาน 70 ปี "นันยาง"รองเท้าคู่ใจ ส่งรุ่นลิมิเต็ด“พิทักษ์ 68”เคียงข้างทหารไทย 

ท่ามกลางสงครามการค้าที่นับวันจะเพิ่มความเข้มข้น หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้เปิดศึกภาษีการค้า ด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรฝ่ายเดียวจากประเทศต่างๆในอัตราที่สูง ขณะที่กองทัพสินค้าจีนได้ไหลบ่าท่วมตลาดประเทศไทย ที่สำคัญด้วยภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ถดถอย และการเมืองก็โอนเอน เจอเข้าไปเต็มๆ แบบนี้ ทำเอาผู้ผลิตในบ้านเราไม่น้อยต้องม้วนเสื่อปิดกิจการ

จากปัญหาหนักอกของภาคอุตสาหกรรมดังกล่าว ทำให้ นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้กล่าวถึงความรู้สึกของผู้ประกอบการในช่วงนี้ ที่งานเสวนา “ปลดล็อกทุกข้อจำกัด สร้างความเข้มแข็งยั่งยืนเพื่ออนาคตไทย” เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งในงานมีผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมอย่างมากมาย

นายนาวาได้กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมประจำเดือน มิ.ย.2568 สำรวจโดย ส.อ.ท. ว่ามีค่าเพียง 87.7 น้อยสุดในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2567 เป็นต้นมา

จากทั้งหมด 47 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าส่วนใหญ่รวม 35 กลุ่มอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในระดับต่ำกว่าดัชนี 100 หรือไม่ดี เนื่องจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนในทางการเมือง โดยกลุ่มที่มีค่าความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมต่ำอยู่แล้ว ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก อะลูมิเนียม เซรามิก แก้ว-กระจก สำรวจ-ผลิตปิโตรเลียม อัญมณี-เครื่องประดับ เป็นต้น

ทั้งนี้อีกหลายกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งกำลังจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งสหรัฐอเมริกาแจ้งว่าจะเก็บจากสินค้าไทยในอัตราสูงถึง 36% มากกว่าประเทศหลักอื่นๆในอาเซียน

ภาคธุรกิจของไทยซึ่งพึ่งการส่งออกไปสหรัฐฯ ในปี 2567 มีสัดส่วนสูงถึง 18% และสะสม 5 เดือนแรกของปีนี้เกือบ 20% ย่อมเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบสูงได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักรและส่วนประกอบ ยางและของทำด้วยยาง เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องแต่งกาย อาหาร หัตถกรรมสร้างสรรค์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.มั่นใจว่าได้นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับเป็นเครื่องมือของ “ทีมไทยแลนด์” ซึ่งนำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง จนสามารถเจรจากับสหรัฐฯ ให้อัตราภาษีตอบโต้ดังกล่าวลดต่ำลงได้ใกล้เคียงประเทศคู่แข่งขันของไทย

รวมถึงการแลกเปลี่ยนเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ต้องไม่กระทบผู้ผลิตในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย หรือมีการเยียวยาที่เหมาะสม ทั้งนี้ ก็ได้มีการเตรียมแผนสำรองที่ต้องเหนื่อยขึ้นในการสรรหาตลาดอื่นทดแทนสหรัฐฯด้วย แม้ขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะใหญ่มากราว 23% ของโลก แต่ประชากรประเทศอื่นๆ ในโลกก็ยังมีอีกเกือบ 8 พันล้านคน รวมกันก็มีขนาดเศรษฐกิจเป็นกว่า 3 เท่าตัวของขนาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ที่สำคัญคือการสร้างกำลังซื้อภายในประเทศไทยอย่างจริงจังด้วยมาตรการต่างๆ ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยงบประมาณ 157,000 ล้านบาท ต้องเน้นการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนใช้สินค้าผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand : MiT) มีส่วนในการจ้างแรงงานไทยและใช้วัตถุดิบในประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังต้องให้ความสำคัญและเข้มงวดในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้หน่วยราชการต่างๆ ที่เร่งใช้งบดังกล่าวนี้เน้นการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าในห่วงโซ่อุปทาน MiT

ส.อ.ท. ยังได้เสนอว่าในยุคสงครามการค้าโลกนี้ ประเทศไทยต้องป้องกันตนเองให้ดีด้วย กระทรวงพาณิชย์ต้องใช้มาตรการทางการค้า (Trade Measures) ต่างๆ อย่างรวดเร็วและทันกาลเพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียเปรียบประเทศอื่นๆ ในการสกัดกั้นการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ

โดยนอกจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping Duty : AD) แล้ว ต้องกล้าใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguarding : SG) และมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) ด้วย รวมถึงเข้มงวดไม่ให้มีการนำสินค้าต่างชาติมาสวมสิทธิ์อ้างผลิตในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯอาจมองประเทศไทยในภาพลบว่าเป็นช่องทาง สำหรับบางประเทศใช้เป็นทางผ่าน หรือ Transshipment เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้าไม่ต้องจ่ายอากร AD หรืออากร CVD ในการส่งออกสินค้าจากประเทศดังกล่าวไปยังสหรัฐฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจเพื่อกวดขันในเรื่องนี้อย่างจริงจังรวมถึงการหาบทลงโทษผู้สำแดงเท็จด้วย

ส.อ.ท. นำโดยประธานฯ นายเกรียงไกร  เธียรนุกุล  คงติดตามทวงถามร่วมมือในเรื่องต่างๆ ที่ได้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เดือน ส.ค.2567 และข้อเสนอเพิ่มเติมในวาระต่างๆ ทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐานที่มีอยู่เดิมแล้วของประเทศไทย และการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มแรงขับเคลื่อนใหม่เศรษฐกิจของประเทศไทยให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป.

เจริญสุข  ลิมป์บรรจงกิจ

คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ