อินไซด์ทีมเจรจาภาษีทรัมป์

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

อินไซด์ทีมเจรจาภาษีทรัมป์

Date Time: 5 ส.ค. 2568 05:00 น.

Summary

ในที่สุด!! สหรัฐฯได้ประกาศเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากไทยแล้วในอัตรา 19% ต่ำกว่าอัตราที่ประกาศไว้ครั้งแรกที่ 36% โดยจะเริ่มจัดเก็บสินค้าส่งออกจากไทยตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 ส่วนสินค้าส่งออกที่ลอยลำกลางทะเล และยังไม่ถึงสหรัฐฯทันวันที่ 7 ส.ค.68 ยังคงเก็บ 10%

Latest

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคนิวโลว์ 33 เดือน

ในที่สุด!! สหรัฐฯได้ประกาศเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากไทยแล้วในอัตรา 19% ต่ำกว่าอัตราที่ประกาศไว้ครั้งแรกที่ 36% โดยจะเริ่มจัดเก็บสินค้าส่งออกจากไทยตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 ส่วนสินค้าส่งออกที่ลอยลำกลางทะเล และยังไม่ถึงสหรัฐฯทันวันที่ 7 ส.ค.68 ยังคงเก็บ 10%

และทันทีที่ทราบผล ทีมไทยแลนด์ ที่มี “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าคณะ ได้ส่งข้อความผ่าน “Line” ตรงถึงนักธุรกิจ หัวหน้าส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ขอให้ทำโปสเตอร์ และออกข่าว “ขอบคุณ” นายพิชัย และทีมไทยแลนด์ ที่ปิดดีลอัตราภาษีได้ที่ 19%

ทั้งนี้ ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา “นายพิชัย” ทีมไทยแลนด์ และทีมทำงานต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ แบบไม่มีวันหยุดพัก และพักผ่อน เพราะเวลาของ 2 ประเทศต่างกันถึง 12 ชั่วโมง จนหลายคนล้มป่วย

อีกทั้งยังต้องบินไปเจรจาถึงสหรัฐฯ โดยได้เตรียมเช่าเหมาลำเครื่องบินส่วนตัวไว้รอให้พร้อมเดินทางแบบฉุกเฉิน หากฝ่ายสหรัฐฯเชิญเข้าพบ ณ ทำเนียบขาว แต่น่าเสียดาย ทีมไทยแลนด์ ได้พบเพียงผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ไม่ได้พบบุคคลสำคัญรายอื่น และมีข้อมูลจากวงใน ว่าการเดินทางครั้งนี้มีการบินออกนอกเส้นทาง แต่จะไปไหน พบใคร ต้องสืบกันเอง!!!

แม้ไทยปิดดีลได้ที่ 19% และได้รับเสียงชื่นชมยินดี แต่ยังไม่ถือว่าการเจรจา “เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์” เป็นเพียง “การเห็นชอบร่วมกันในหลักการ” และเป็นจุดเริ่มต้นเจรจารายละเอียด เสมือนการเล่นเกม ที่เพิ่งผ่านด่านแรก เพื่อไปเล่นด่านต่อไป จึงยังมีการเจรจาลงลึกในรายละเอียดของแต่ละสินค้า และรายละเอียดของสิ่งที่จะตกลงร่วมกันอีกมาก รวมทั้งยังต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมาย นำข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่ไทยจะทำกับสหรัฐฯเสนอให้คณะรัฐมนตรี และรัฐสภาเห็นชอบก่อน

สำหรับความรู้สึกของทีมเจรจาเป็นอย่างไรนั้น หนึ่งในทีม เล่าว่า ถือเป็นโจทย์หิน โจทย์ยากมาก เพราะไม่รู้ว่าสหรัฐฯจะรับข้อเสนอของไทยอย่างไร นอกจากทำงานหนักแล้ว จึงต้องพึ่ง “สายมู” กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่พระสยามเทวาธิราช พระแก้วมรกต เทวดาฟ้าดิน บูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ ฯลฯ ขอพรให้ประสบความสำเร็จในการเจรจาครั้งนี้ และครั้งต่อๆไป

ขณะที่อีกรายบอกว่า การเจรจาครั้งนี้ยากที่สุด เครียดที่สุด และกดดันมากที่สุดในชีวิต ความรู้สึกเหมือนอยู่บน “กับระเบิด” ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้อเสนอของสหรัฐฯต่อไทยจะเป็นอย่างไร ไทยต้องเสนอให้มากขนาดไหนถึงจะพอใจและหันมาเจรจาต่อกับไทย

“บอกตามตรง เมื่อรู้ว่าจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของทีมเจรจา ถึงกับต้องสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ปกปักรักษาแผ่นดินไทย ดวงพระวิญญาณบูรพกษัตริย์ที่ปกป้องเอกราชอธิปไตยของไทย ขอพรให้การเจรจาผ่านไปด้วยดี พร้อมกับตั้งสัตย์ว่า จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด วางตัวเป็นกลาง ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่จะยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง”

อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่มีรายละเอียดว่าไทยนำสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนกับสหรัฐฯ แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุด คือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ปีละ 30,000-40,000 ล้านบาท ปริมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งได้ทำสัญญาแล้วจะเริ่มนำเข้าปี 69 นอกจากนี้ ยังเตรียมการให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดซื้อเครื่องบินโบอิ้งราว 100 ลำ ตามแผนการจัดซื้อที่มีอยู่เดิม 

ส่วนการเจรจาต่อจากนี้ ยืนยันว่าทีมเจรจาจะเจรจาอย่างดีที่สุด โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศ ขอให้คนไทยสบายใจได้ อย่างกรณีลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 0% ที่มีสัดส่วนกว่า 90% ของสินค้าที่ค้าขายกันก็ยืดตามรายการสินค้าที่ไทยลดเป็น 0% ให้ประเทศต่างๆในกรอบความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ก่อนแล้ว

แต่ก็มีบางรายการที่ไม่เคยเปิดตลาดมาก่อน อย่างเนื้อหมู ฯลฯ ซึ่งมีแนวทางเจรจา คือ ไม่ลดภาษีเป็น 0% ทันที แต่จะทยอยลดขอเวลาให้เกษตรกรปรับตัว อย่างน้อย 5 ปี พร้อมกำหนดปริมาณนำเข้า อีกทั้งต้องหารือด้านสุขอนามัยด้วย เท่ากับมีกลอนล็อกถึง 2 ชั้น!!

ทั้งนี้ แม้มองกันว่าไทยเสียเปรียบในศึกครั้งนี้ แต่ทีมเจรจารายนี้กลับมองว่า เปรียบเหมือนเป็น “Wake Up Call” ที่ทำให้ไทยต้องลุกขึ้นมาปรับตัว ปรับโครงสร้างในหลายด้าน เพราะผู้ประกอบการบางสินค้ามีมาตรการภาษีจากรัฐอุดหนุน จนกลายเป็นความเคยชิน ไม่พัฒนาตัวเอง แต่จากนี้ต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิตในระยะยาว และไม่จำเป็นต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐอีก

นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่จะลด/เลิกกฎระเบียบ ขั้นตอนต่างๆ ที่ยุ่งยากซับซ้อน และสหรัฐฯมองว่าเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการภาษี (NTB) โดยเฉพาะการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่สหรัฐฯมองว่าเป็นจุดเกิด “คอร์รัปชัน”

จากนี้ จับตารายละเอียดการเจรจาจะเป็นอย่างไร สหรัฐฯจะพอใจและยอมให้ไทยผ่านไปด่านต่อไปหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะมีอีกสักกี่ด่าน ขอให้ไทยไม่เสียประโยชน์จนเกินรับไหว เพราะจะเกิดวิกฤติแน่นอน!!

คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ