ร่วมมือรัฐทำงานเชิงรุก

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ร่วมมือรัฐทำงานเชิงรุก

Date Time: 2 ก.ย. 2568 04:35 น.

Summary

ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงสูงจากผลกระทบของสงครามการค้าโลก ทั้งผลทางตรง และผลสืบเนื่องจากสินค้าทุ่มตลาดจากสินค้าต่างๆที่ทะลักเข้าไทยอยู่แล้ว และจะรุนแรงยิ่งขึ้นจากประเทศอื่นซึ่งโดน Reciprocal Tariff อัตราสูงกว่าไทย เช่น จีน อินเดีย เป็นต้น

Latest

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคนิวโลว์ 33 เดือน

แม้ว่าช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้ต้องมีการจับขั้วตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ในส่วนของภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐอเมริกาในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการจัดเก็บกับประเทศต่างๆนั้น นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ต้องขอบคุณทีมไทยแลนด์ที่เจรจาได้อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐอเมริกาใช้กับสินค้าไทยปรับจาก 36% เป็น 19% ซึ่งทำให้สถานการณ์คลายความวิกฤติลง และหลายอุตสาหกรรมยังสามารถแข่งขันได้

“อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงสูงจากผลกระทบของสงครามการค้าโลก ทั้งผลทางตรง และผลสืบเนื่องจากสินค้าทุ่มตลาดจากสินค้าต่างๆที่ทะลักเข้าไทยอยู่แล้ว และจะรุนแรงยิ่งขึ้นจากประเทศอื่นซึ่งโดน Reciprocal Tariff อัตราสูงกว่าไทย เช่น จีน อินเดีย เป็นต้น”

ทั้งนี้ ในการหารือสำคัญระหว่าง รมว.พาณิชย์ นาย จตุพร บุรุษพัฒน์ กับประธาน ส.อ.ท. นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ได้พิจารณาวาระเร่งด่วนเพื่อรับมือสงครามการค้าโลก ซึ่งตามหลักการทำสงคราม ต้องป้องกันตัว เสมือนการสร้างรั้วสูง เกราะป้องกันประเทศที่แข็งแรงอย่างทันต่อเหตุการณ์ โดย ส.อ.ท.คาดหวังให้ภาครัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ ต้องทำงานเชิงรุกยิ่งขึ้น

โดยใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยง (Anti-Circumvention : AC) อย่างรวดเร็ว และกล้าใช้มาตรการปกป้องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguarding : SG) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) อย่าให้ผู้นำเข้าสินค้าทุ่มตลาดอ้างเพียงของถูกเพื่อผู้บริโภค มาทำลายเศรษฐกิจหมุนเวียน ห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการจ้างงานภายในประเทศไทย

ยกตัวอย่างเช่น มาตรการปกป้องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น หรือ Safeguarding ซึ่งในช่วง 7 ปีหลังนี้ หลายประเทศทั้งพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนาได้ใช้กันอย่างจริงจังเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ในขณะที่ประเทศไทยกลับเลิกใช้มาตรการ Safeguarding มา 6 ปีแล้ว ต่างจากหลายประเทศในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มีมาตรการ Safeguarding โดยต่อเนื่องและใช้กับหลายประเภทสินค้าเกือบ 30 รายการ รวมถึงฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย ก็มีการใช้มาตรการดังกล่าวมากกว่าไทย

ล่าสุด ส.อ.ท.ได้ไปร่วมเสวนาเรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากต่างประเทศ” กับคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา และหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ส.อ.ท.เห็นด้วยกับรายงานที่ได้นำเสนอว่า ผู้ประกอบการของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือ SME (Small and Medium Enterprises) กำลังเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรง 4 ประการ

 ได้แก่ 1.“เกราะป้องกันที่อ่อนแอ” จากมาตรการทางการค้า (Trade Remedies) ที่ใช้น้อย ใช้ไม่เต็มที่ และมีกระบวนการล่าช้า 2.“กำแพงที่มองไม่เห็น” จากมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Measures : NTMs) ที่ปล่อยให้สินค้านำเข้าราคาถูกทะลักเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย 3.“หนอนบ่อนไส้” จากธุรกิจที่กลุ่มทุนสีเทาหลบเลี่ยงกฎหมายในช่องทางต่างๆ เข้ามาดูดกลืนรายได้ และทำลายห่วงโซ่อุปทานของผู้ประกอบการไทย และ 4. “สมรภูมิ E–commerce ที่ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง” ซึ่งถูกครอบงำโดยแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่จากต่างชาติ ที่ใช้อำนาจเหนือตลาด

 โดยได้มีการเสนอแนวทางในการรับมือปัญหาดังกล่าวเพื่อให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs สามารถต่อสู้อยู่รอดจากสงครามการค้าได้ด้วย 4 แนวทางหลัก คือ 1.การใช้ประโยชน์จากมาตรการทางการค้า (Trade Remedies) อย่างรวดเร็ว ทันกาล เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน 2.แนวทางการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) เพื่อปกป้องและส่งเสริมผู้ประกอบการภายในประเทศไทย 3.การป้องกันการแทรกซึมของธุรกิจตัวแทนอำพราง (Nominee) ต่างชาติ และ 4.การสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันในตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

นายนาวากล่าวว่า ส.อ.ท. มีนโยบายขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อป้องกันและปราบปรามการทำผิดกฎหมาย ตลอดจนส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาคอุตสาหกรรมและยืนยันว่าเราต้องการผู้ประกอบธุรกิจที่ใสสะอาด เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของประเทศชาติ แม้ผู้ประกอบการซึ่งดำเนินธุรกิจแบบไม่ชอบมาพากลอาจใช้กลเม็ดฟ้องกระทรวงอุตสาหกรรม ผ่านช่องทางหรือกลไกต่างๆ

“ภาคเอกชนและประชาชนขอเป็นกำลังใจ สนับสนุน กระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่กล้ายืนหยัดบนความถูกต้องและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และมั่นใจว่าในที่สุดความถูกต้องดังกล่าวจะชนะอำนาจมืดหรือทุนสีเทา”.

เจริญสุข ลิมป์บรรจงกิจ

คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ