“จุฬา”ตอบไม่ได้กรณี UTA จะหยุดโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เพราะสิ่งที่ให้ข่าวไม่เหมือนที่เคยคุยกันไว้ ส่วนไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินน่าจะสรุปได้ภายในปี 2568
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.หรืออีอีซี) เปิดเผยว่า ไม่สามารถตอบคำถามผู้สื่อข่าวได้ในกรณีที่นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA หนึ่งในผู้ร่วมทุนของบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA ระบุว่า จะมีการประชุมหารือภายในของ UTA พิจารณาว่า จะตัดสินใจเดินหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาทต่อไปหรือไม่ จากที่มีความล่าช้า และยังไม่มีความชัดเจนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เนื่องจากสิ่งที่นายพุฒิพงศ์บอกกับผู้สื่อข่าว ไม่เหมือนและแตกต่างจากที่ UTA หารือกับตนเอง
“สิ่งที่ UTA คุยกับผมมีแต่ว่าจะหาทางเดินหน้าโครงการนี้ต่อไปได้อย่างไร เรามีแต่คุยกันว่าจะเดินหน้าได้อย่างไร ถ้าไม่เชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินจะทำได้หรือไม่ และยังอยู่ระหว่างคุยกันอยู่ ยังไม่ได้มีข้อยุติ แต่ที่คุยกับนักข่าวเป็นอีกแบบ คงต้องไปถามเขา และนักข่าวคงเก็บข้อมูลมาไม่หมดด้วย”
ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่คู่สัญญาคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอราวัณ จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าที่เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี)ถือหุ้นใหญ่ จะมีการแก้ไขสัญญาโดยเปลี่ยนวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน จากเดิมจ่ายเมื่อโครงการเสร็จ เป็นการทยอยจ่ายตามความคืบหน้า พร้อมเพิ่มหลักประกันจากเอกชนให้สูงขึ้นและปรับเงื่อนไขการชำระค่าสิทธิรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์นั้น นายจุฬา กล่าวว่า ทางอัยการสูงสุดได้ส่งความเห็นของการแก้ไขสัญญากลับมาแล้ว ต้องรอให้คู่สัญญาไปเจรจากันว่าประเด็นที่อัยการสูงสุดมีความเห็นมา จะสามารถตกลงกันได้หรือไม่ หากตกลงกันได้ ก็นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด กพอ.) และคณะรัฐมนตรีคาดว่า จะได้ข้อสรุปภายในปี 2568
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประเด็นที่นายพุฒิพงศ์เรียกร้อง ประกอบด้วย การพิจารณาว่าจะตัดสินใจเดินหน้าโครงการนี้ต่อไปหรือไม่ เนื่องจากมีความล่าช้าและยังไม่มีความชัดเจนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งกรอบระยะเวลาตามสัญญาจะต้องดำเนินการภายใน มิ.ย. 68 ซึ่งปัจจุบันครบกำหนดแล้วนับตั้งแต่วันลงนามสัญญา แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เกิดขึ้น จึงถือว่าภาครัฐทำผิดข้อกำหนด โดยจะให้เวลาอีก 1 เดือน หากยังไม่มีความชัดเจนก็จะยกเลิกสัญญา พร้อมทั้งจะขอเงินที่ได้ลงทุนในโครงการนี้ไปแล้วประมาณ 4,000 ล้านบาทคืนจากสำนักงานอีอีซีในฐานะคู่สัญญา นอกจากนี้ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาปรับลดขนาดการลงทุน การพัฒนาในระยะที่ 1 (เฟสแรก) จะต้องรองรับผู้โดยสารได้ที่ 12 ล้านคนต่อปี ให้เริ่มต้นรองรับผู้โดยสารที่ 3 ล้านคนต่อปีก่อน