
THAIRATH FORUM 2025 : The Next New Economy เวทีสัมมนาใหญ่ประจำปีของไทยรัฐกรุ๊ปในปี 2568 ดำริขึ้นภายใต้เป้าหมายที่ต้องการสะท้อนให้เห็นอนาคตของไทย ท่ามกลางความท้าทายมากมายที่โอบล้อมเข้ามา
THAIRATH FORUM 2025 : The Next New Economy เวทีสัมมนาใหญ่ประจำปีของไทยรัฐกรุ๊ปในปี 2568 ดำริขึ้นภายใต้เป้าหมายที่ต้องการสะท้อนให้เห็นอนาคตของประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทายมากมายที่โอบล้อมเข้ามา
นอกจากการปาฐกถาพิเศษของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังแล้ว ยังประกอบด้วยเวทีเสวนาทิศทางและแนวโน้มที่น่าจะนำไปสู่โอกาสใหม่ของเศรษฐกิจไทย นั่นคือการมาถึงของเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology Economy) และโอกาสของไทยในการเข้าร่วมคลื่นนวัตกรรมลูกที่ 4 (The 4th Wave of Innovation) นี้ ตลอดจนกระแสที่กำลังเป็นที่สนใจในระดับสูง ต่อการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น (Longivity Economy) หลังจากที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ เราจะโอบรับโอกาสนี้ได้อย่างไรบ้าง
จรีพร จารุกรสกุล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (มหาชน)
ไทยต้องมียุทธศาสตร์ระดับประเทศที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อสร้างเสถียรภาพให้การลงทุนด้านเทคโนโลยีเดินหน้าได้จริง โดยเฉพาะการดึงเงินเข้าประเทศให้ได้เร็วที่สุด เพราะนั่นคือสิ่งที่จะเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจได้โดยตรง หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI-Foreign Direct Investment)
แม้ไทยจะมีข้อได้เปรียบหลายด้านในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) แต่ภาพรวมในภูมิภาคกลับถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้า ตั้งแต่เวียดนาม ซึ่งเดินหน้าดึง FDI อย่างต่อเนื่อง อินโดนีเซียกำลังเร่งผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล มาเลเซียประกาศพัฒนาอุตสาหกรรมชิปของตัวเอง และสิงคโปร์ที่ยังคงเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีหรือ Tech Hub ระดับโลก คำถามสำคัญคือ “ประเทศไทยอยู่ตรงไหน” ในสนามแข่งขันเทคโนโลยีใหม่นี้
“แต่ตอนนี้ ไทยเริ่มได้เปรียบเวียดนามอีกครั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพราะเวียดนามเริ่มเจอข้อจำกัด ทั้งเรื่องพลังงานและแรงงาน ตัวเลขชี้ชัดคือ เมื่อปีที่แล้ว FDI ของไทยอยู่ที่ราว 800,000 ล้านบาท ส่วนเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ครึ่งปีแรกปี 2568 ไทยมี FDI ถึง 732,000 ล้านบาท มากกว่าเวียดนามในช่วงเดียวกัน โดยกว่า 400,000 ล้านบาท มาจากกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์”
ประเทศไทยเรามี “บุญเก่า” ที่แข็งแรงอยู่แล้วในฐานอุตสาหกรรมเก่า แต่สิ่งสำคัญคือการต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมกลุ่มยานยนต์ไทยเป็นระดับท็อปของโลก สิ่งที่เราแข็งแรงคือ ICE (เครื่องยนต์สันดาป) แต่ปัจจุบันเรากำลังมีระบบนิเวศด้านรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ที่แข็งแกร่งขึ้นมาก เพราะมีฐานการลงทุนแบบเก่าที่แข็งแรง แต่ต่อจากนี้เราต้องสามารถดึง “บุญใหม่” เข้ามาให้ได้ด้วย
Quick Big Win ที่แท้จริงของประเทศไทยในตอนนี้ ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีหรือโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่คือ “คน” โดยเฉพาะ บุคลากรด้านเทคโนโลยี (Tech Talent) ซึ่งประเทศไทยมี “คุณภาพ” แต่ยังขาด “ปริมาณ”
แม้มหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มปรับหลักสูตรด้านเทคโนโลยี แต่ไม่ทันกับความต้องการตลาด และตอนนี้กำลังเผชิญกับภาวะสมองไหล คนเก่งไปทำงานกับบริษัทต่างชาติ เพราะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศยังเล็กเกินไป “ทางออกคือไทยต้องดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเข้ามาลงทุนสร้างเทคโนโลยีเชิงลึกในไทย เมื่อเราดึงบริษัทใหญ่ๆเข้ามาได้ มันจะสร้างเป็นระบบนิเวศ ขยายไปสู่เทคโนโลยีอื่นๆได้อีก”
นอกจากนี้ รัฐต้องออกนโยบายเอื้อต่อการดึงดูดและรักษาบุคลากรทั้งต่างชาติและไทย เช่น กลุ่ม Digital Nomad ให้เข้ามาอยู่และทำงานในไทยง่ายขึ้น เกิดเป็นชุมชนคนที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีในประเทศ
โดยบุคลากร 3 กลุ่มหลักที่ต้องพัฒนาอย่างสอดคล้องกัน ได้แก่ 1.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ไทยมีนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังขาดความต้องการจากภาคอุตสาหกรรม ทำให้ผลงานวิจัยต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จำกัด เสนอให้ดึงบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกมาตั้งศูนย์วิจัยในไทย 2.กลุ่มวิศวกร (Engineer) ต้องสร้างความต้องการในตลาด กระตุ้นให้รัฐและเอกชนลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น สร้างโอกาสให้วิศวกรได้พัฒนาแพลตฟอร์มและผลิตภัณฑ์จริง จะช่วยดึงดูดคนเก่งให้อยู่ในประเทศ 3.กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป (User) แม้คนไทยใช้ AI เยอะ แต่ต้องอบรมให้เข้าใจหลักการและขีดจำกัดของ AI ใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่เครื่องมือหาคำตอบ
ในกรอบ “Quick Big Win” 4+4 เดือน จะสร้างท่าเรือโรงงาน หรือสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ให้เสร็จคงยาก แต่เราทำ Soft Infrastructure ได้ทันที นั่นคือการบูรณาการและเปิดใช้ข้อมูล “ตลาดขาดข้อมูลฝึก AI ทั้งที่รัฐถือครอง Unique Data Asset ซึ่งเป็นข้อมูลที่เข้าถึงยาก แต่ใช้ประโยชน์ได้จริงอยู่เป็นจำนวนมาก หากบูรณาการและเปิดใช้เชิงวิเคราะห์ จะเกิดผลเร็วและยั่งยืน”
ตัวอย่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยข้อมูลหรือ “Data-Driven Economy” ที่เริ่มได้ทันที ได้แก่ ข้อมูลสุขภาพ ที่เชื่อมข้อมูลพฤติกรรมการใช้ชีวิตกับประวัติการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน-ความดัน ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐระยะยาว, ข้อมูลท่องเที่ยว ใช้ข้อมูลตรวจคนเข้าเมือง ทำความเข้าใจว่า “ใคร-มาเมื่อไร-ใช้จ่ายอย่างไร” จะช่วยออกแบบแคมเปญและโครงสร้างราคาได้แม่นยำ หรือข้อมูลเกษตร ที่เชื่อมข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกและตลาดโลก เพื่อคาดการณ์ผลผลิต 3 เดือนล่วงหน้า ลดความเสี่ยงล้นตลาด
“รัฐบาลไทยเชื่อมยาก แต่พอเชื่อมแล้วไม่เคยปิดท่อ เราจะวิเคราะห์ต่อได้อีกยาว ถ้าลดระดับชั้นความลับให้เหมาะสมและเปิดให้เอกชนต่อยอด เศรษฐกิจจะได้ประโยชน์มหาศาล เพราะข้อมูลรัฐก็สร้างจากภาษีประชาชน”
อย่างไรก็ตาม คงยากที่ไทยจะเป็น AI Hub ของโลก แต่ระดับอาเซียนพอเป็นได้ สิ่งที่ต้องทำมี 2 อย่าง นั่นคือ 1.การทำโปรแกรมที่มีชื่อว่า Reskill Program แน่นอนว่า การทำตำราคงทำไม่ทันเพราะใช้เวลากว่า 2 ปี แต่ AI เปลี่ยนแปลงทุก 2 สัปดาห์ สิ่งที่ต้องทำคือ สอนผ่านคอร์สสั้น 1–2 ชั่วโมง 2.Incentive Program ควรกระตุ้นการใช้ AI โดยกำหนดเงื่อนไขไม่เลย์ออฟ เพื่อให้คนทำงานใช้เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพแทนการถูกทดแทน
ทีมเศรษฐกิจ