บรรษัทภิบาลไทย จะไปไกลกว่ากระดาษได้อย่างไร

Experts pool

Columnist

Tag

บรรษัทภิบาลไทย จะไปไกลกว่ากระดาษได้อย่างไร

Date Time: 24 ส.ค. 2567 10:00 น.

Video

SENA สร้างโซลูชันธุรกิจ แก้ปัญหาสังคม แก้วิกฤติอสังหาฯ ขายไม่ออก | On The Rise

Summary

การผลักดันบรรษัทภิบาลให้เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่อยู่แต่ในหน้ากระดาษ หรือโล่รางวัลบรรษัทภิบาล ก็ต้องอาศัยการออกแรงของผู้ถือหุ้นที่ไม่ใช่รายใหญ่ ทำตัวเป็น “ผู้ถือหุ้นนักเคลื่อนไหว” (shareholder activist) ไม่ใช่รอแค่มาตรการของ ก.ล.ต และ ตลท. อย่างเดียว

Latest


ตอนที่แล้วผู้เขียนเทียบ CG Reporting มาตรฐานบรรษัทภิบาลที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในไทย กับ ASEAN CG Scorecard มาตรฐานบรรษัทภิบาลระดับอาเซียน เพื่อดูว่า CG Reporting จะพัฒนาให้ตามทันมาตรฐานอาเซียน (ซึ่งก็พัฒนาอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานธรรมาภิบาลของ G20/OECD) ได้อย่างไรบ้าง

ผู้เขียนเห็นว่า หลายข้อที่ ASEAN CG Scorecard 2024 ใช้ในการประเมิน แต่ CG Reporting ยังไม่มี น่าจะช่วยปรับปรุงระดับบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียนในไทย ลดความเสี่ยงที่จะเกิดกรณีทุจริตที่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเสียหายมหาศาลอย่าง STARK หรือ EARTH – โดยเฉพาะถ้าหากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพิ่มหัวข้อเหล่านี้ลงในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG Code) และเพิ่มมาตรการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่องว่า บริษัทจดทะเบียนมีการปฏิบัติตามหลักการชุดนี้จริงหรือไม่ เพียงใด

ส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยและผู้ถือหุ้นสถาบัน ก็ควรมีบทบาทมากขึ้นเช่นกันในการติดตามตรวจสอบการทำงานของบริษัท และหยิบยกประเด็นขึ้นมาหารือกับบริษัททันทีที่พบเห็นความผิดปกติ โดยไม่ต้องรอยกมือถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี เช่น การแต่งตั้งกรรมการอิสระที่ดูไม่มีความรู้ความสามารถใดๆ ที่จะช่วยบริษัทได้ ดูเหมือนเป็นการแต่งตั้งแบบ “ต่างตอบแทน” ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่เสียมากกว่า 

หลักบรรษัทภิบาลข้อหลักๆ ตามมาตรฐานอาเซียนและ G20/OECD ที่ผู้เขียนเห็นว่า ก.ล.ต. ควรบรรจุเพิ่มเติมใน CG Code และเปิดเผยผลการตรวจสอบบริษัทจดทะเบียนตาม CG Code ต่อสาธารณะ (อาจทำผ่านความร่วมมือกับสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย) มีดังต่อไปนี้ 

1. ไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนกรรมการอิสระในรูปแบบอื่นใดนอกเหนือจากเบี้ยประชุม เช่น เงินโบนัส ออปชันหุ้น หรือผลตอบแทนประเภทอื่นที่ผูกโยงกับผลประกอบการของบริษัท 

ทั้งนี้ เนื่องจากกรรมการอิสระโดยตำแหน่งเป็นคนนอก ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ หรือผู้บริหารบริษัท ดังนั้นถ้าหากกรรมการอิสระได้รับผลตอบแทนชนิดเดียวกันเป๊ะกับกรรมการที่เป็นผู้บริหาร (กรรมการ “คนใน”) ก็อาจสร้างแรงจูงใจผิดๆ ให้ทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระน้อยลง มีแนวโน้มที่จะคล้อยตามกรรมการ “คนใน” และฝ่ายจัดการมากขึ้นในการพิจารณาเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะโครงการที่มีความเสี่ยงสูง แทนที่จะเป็นตัวของตัวเองและเน้นการกำกับฝ่ายจัดการ เพราะส่วนตัวมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น (แลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น) 

2. กรรมการบริษัทควรแจ้งเหตุผลที่ชัดเจนในการลาออก หากลาออกก่อนครบวาระ 

เนื่องจากกรรมการ โดยเฉพาะกรรมการอิสระ มีบทบาทสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการกำกับดูแลบริษัท นับเป็น “ปราการด่านสุดท้าย” ก่อนที่เรื่องอื้อฉาวจะออกสู่สายตาคนนอก (ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น ผู้ถือหุ้นก็มักเสียหายไปแล้วเพราะนั่นมักหมายถึงคดีความ การสอบสวนของทางการ และราคาหุ้นดิ่งเหวตามมา) แต่อย่างที่เราๆ รู้กันอยู่ว่า กรรมการอิสระในไทยมักไม่ค่อยเป็นอิสระเท่าไรนัก หลายคนมักเป็นญาติพี่น้องหรือมิตรสหายของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คนที่ไม่ใช่ก็ยากยิ่งที่จะทำงานอย่างเป็นอิสระ ทำงานอย่างสุจริตได้สักพักสุดท้ายก็อาจถูกบีบให้ลาออกอย่างเงียบๆ โดยไม่ “ทิ้งทวน” ด้วยการแฉความแย่ของบริษัทไว้เป็นอนุสรณ์

เนื่องจากการแต่งตั้งกรรมการ (มารับค่าตอบแทนงามๆ) มักถูกใช้เป็นวิธี “ตกรางวัล” หรือ “ต่างตอบแทน” ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือถ้าเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจ ก็เป็นวิธี “ตกรางวัล” ของนักการเมืองในอำนาจ เหตุการณ์ที่จู่ๆ บริษัทจดทะเบียนมีกรรมการลาออกก่อนครบวาระ โดยเฉพาะกรณีที่ลาออกพร้อมกันมากกว่า 1 คน แล้วจากนั้นไม่กี่วันคณะกรรมการบริษัทลงมติแต่งตั้งกรรมการคนใหม่มาแทนที่ทันที จึงเป็นเหตุการณ์ที่อาจบ่งชี้ว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือนักการเมืองในอำนาจอาจกำลัง “ตกรางวัล” หรือ “ต่างตอบแทน” คนของตัวเอง ซึ่งก็แปลว่ากรรมการรายใหม่อาจไม่ได้มาเพื่อ “ทำหน้าที่” กรรมการบริษัทอย่างที่ควรทำ

ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนเห็นว่า ก.ล.ต. ควรเพิ่มใน CG Code อย่างชัดเจนว่า กรรมการทุกคนที่ลาออกก่อนครบวาระ ควรระบุเหตุผลที่ชัดเจนในการลาออก เพื่อสนับสนุนให้กรรมการบริษัทจดทะเบียนมีความกล้ามากขึ้นที่จะประกาศต่อสาธารณะ หากถูกบีบให้ลาออกก่อนกำหนด เพียงเพื่อเปิดทางให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือนักการเมืองในอำนาจส่งคนของตัวเองมารับผลตอบแทนโดยไม่คาดหวังให้ทำหน้าที่

ตัวอย่างที่น่าสนใจ ณ วันที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้ (สิงหาคม 2567) คือ กรณีบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC, ปตท. ถือหุ้น 45%) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ถึงการลาออกของกรรมการ 2 คนพร้อมกัน (ไม่ระบุเหตุผล) หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ส่งสารสนเทศอีกฉบับแจ้ง ตลท. วันที่ 21 สิงหาคม ว่ากรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารก็ลาออกด้วย ในวันเดียวกันนั้นเองที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติแต่งตั้งกรรมการทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และกรรมการที่ลาออก รวดเดียว 5 คน 

ในบรรดากรรมการใหม่ 5 คน ของ IRPC สองคนที่น่าสนใจคือ 

  • พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ โดย พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ โด่งดังในหน้าสื่อในฐานะ “แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ” ที่คอยอธิบาย และแถลงเรื่องอาการป่วยของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ย้ายจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์มารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นานถึง 6 เดือน ต่อสื่อเป็นระยะๆ 
  • นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการอิสระ และกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน ของบริษัท นายเสกสกลโด่งดังในสมญา “แรมโบ้อีสาน” และผู้ประพันธ์เพลง “กตัญญูทักษิณ” จากนั้นกลายเป็น “องครักษ์ลุงตู่” ผู้ก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ก่อนที่ล่าสุดจะลาออกจากพรรคในเดือนตุลาคม 2566

ผู้เขียนเห็นว่า ผู้ถือหุ้นของ IRPC ทั้งนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย ที่ข้องใจว่า พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ และนายเสกสกล อาจได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการอิสระเพราะมีความสนิทสนมกับนักการเมืองในอำนาจ มากกว่าความรู้ความสามารถที่จะทำหน้าที่กรรมการอิสระได้ ควรสอบถามคณะกรรมการ IRPC โดยตรง ไม่ต้องรอไปยกมือถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของ IRPC แต่อย่างใด

ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนที่จริงใจกับหลักบรรษัทภิบาล ย่อมมีช่องทางหารือพูดคุยและรับเรื่องร้องเรียนจากผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มอื่นๆ อยู่แล้ว 

และการผลักดันบรรษัทภิบาลให้เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่อยู่แต่ในหน้ากระดาษ หรือโล่รางวัลบรรษัทภิบาล ก็ต้องอาศัยการออกแรงของผู้ถือหุ้นที่ไม่ใช่รายใหญ่ ทำตัวเป็น “ผู้ถือหุ้นนักเคลื่อนไหว” (shareholder activist) ไม่ใช่รอแค่มาตรการของ ก.ล.ต และ ตลท. อย่างเดียว

(หมายเหตุว่า การถอดถอนกรรมการบริษัทมหาชนก่อนครบวาระ จะต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมและมีสิทธิออกเสียงและนับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมและมีสิทธิออกเสียง) 

3. กำหนดให้มีนโยบายเรียกเงินทำโทษ (malus) และเรียกคืนค่าตอบแทน (clawback policy) จากกรรมการบริษัทและผู้บริหาร 

การทุจริต หรือฉ้อโกงผู้ถือหุ้นครั้งมโหฬาร มักเกิดจาก “คนใน” ที่รู้เห็นเป็นใจหรือเป็นคนออกแบบกลโกงตั้งแต่ต้น เมื่อเริ่มรู้แกวว่าอาจถูกจับได้ก็ชิงลาออก ด้วยเหตุนี้ นโยบายเรียกเก็บเงินทำโทษ (malus) เรียกคืนค่าตอบแทน (clawback policy) จึงเป็นเครื่องมือสำคัญของกลไกบรรษัทภิบาลสมัยใหม่ แต่ในไทยยังแทบไม่เห็น (ดูเพิ่มเติมในมาตรฐาน ICGN Global Governance Principles 2021)

เงื่อนไขการเก็บเงินทำโทษและเรียกคืนค่าตอบแทน ควรระบุให้ชัดเจนว่าหมายถึงกรณีที่สร้างผลกระทบต่อบริษัทหรือผู้ถือหุ้น เช่น มีการพบภายหลังว่า กรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงบางรายละเมิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง หรืองบการเงินของบริษัทมีการปกปิดหรือบิดเบือนสาระสำคัญ ทั้งนี้ เนื่องจากกรรมการบริษัทเป็นผู้อนุมัติงบการเงิน จึงควรต้องมีส่วนรับผิดชอบหากเกิดการปกปิดหรือบิดเบือนสาระสำคัญในงบการเงิน การกำหนดเงื่อนไขเรียกคืนค่าตอบแทนจึงควรสร้างแรงจูงใจให้กรรมการบริษัท โดยเฉพาะกรรมการตรวจสอบ ใช้ความระมัดระวังรอบคอบมากขึ้นในการตรวจทาน และอนุมัติงบการเงิน

4. คณะกรรมการบริษัทควรแต่งตั้ง “หัวหน้ากรรมการอิสระ” (lead independent director: LID)

ข้อนี้มาจากข้อ 2.4 ในมาตรฐาน ICGN Global Governance Principles 2021 ซึ่งผู้เขียนชอบมากและคิดว่าควรนำมาใช้ในไทย โดย ICGN เสนอว่า “หัวหน้ากรรมการอิสระ” ควรได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพื่อเป็นตัวกลางและช่องทางตรงในการหารือและสื่อสาร สำหรับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ในประเด็นที่อาจเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนกับประธานกรรมการบริษัท 

หัวหน้ากรรมการอิสระในที่นี้ ถ้าเป็นประธานกรรมการตรวจสอบก็น่าจะเหมาะสม แต่นั่นหมายความว่าบริษัทต้องมอบทรัพยากรที่เพียงพอให้ประธานกรรมการตรวจสอบ “สามารถ” รับเรื่องร้องเรียนและหารือทางตรงกับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มอื่นๆ ได้

5. ประธานกรรมการบริษัทควรมีการประชุมอย่างสม่ำเสมอร่วมกับกรรมการอิสระเท่านั้น และกรรมการอิสระควรมีการประชุมกันเองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินการทำงานของประธานกรรมการบริษัท

ข้อนี้เป็นอีกข้อที่ผู้เขียนชอบมากในมาตรฐาน ICGN Global Governance Principles 2021 โดยข้อ 2.7 เสนอว่า ประธานกรรมการบริษัทควรจัดการประชุมอย่างสม่ำเสมอกับเฉพาะกรรมการอิสระเท่านั้น โดยไม่ให้กรรมการที่เป็นผู้บริหาร (executive directors) เข้าร่วมด้วย เพื่อจะได้รับฟังเสียงสะท้อนจากกรรมการอิสระอย่างเต็มที่ (เพราะถ้าหากกรรมการที่เป็นผู้บริหารอยู่ด้วย กรรมการอิสระอาจเกรงใจ สะท้อนได้ไม่เต็มที่) รวมถึงกรรมการอิสระทั้งหลายก็ควรจะประชุมกันโดยไม่มีประธานกรรมการบริษัทอยู่ด้วยอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง นำโดย “หัวหน้ากรรมการอิสระ” เพื่อประเมินการทำงานของประธานกรรมการอย่างตรงไปตรงมา

6. บริษัทจดทะเบียนควรเปิดเผยรายชื่อ “ที่ปรึกษา” ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งในกระบวนการยุติธรรม หรือทำงานในหน่วยงานของรัฐ ไม่เกิน 2 ปี หรือกำลังอยู่ในตำแหน่งเหล่านี้ ทุกรายที่ได้รับค่าตอบแทน

ข้อนี้ไม่ได้มาจากมาตรฐานสากลใดๆ แต่มาจากข้อสังเกตของผู้เขียนว่า บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งมีการว่าจ้างอดีตข้าราชการระดับสูง อดีตตุลาการระดับสูง หรือแม้แต่ข้าราชการที่ยังรับราชการอยู่ จำนวนนับสิบหรือหลายสิบคน มาเป็น “ที่ปรึกษา” คณะกรรมการบริษัท ที่ปรึกษาเหล่านี้มักได้รับค่าตอบแทนรายเดือนในอัตราสูง และอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับตำแหน่งหน้าที่ในภาครัฐ หรือเป็นส่วนสำคัญที่เอื้ออำนวยให้ “ระบอบอุปถัมภ์” ระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ การแจก “สวัสดิการบรรษัท” โดยไม่สมควรจากภาครัฐ ดำรงต่อไปในสังคมไทย

ด้วยเหตุนี้ CG Code และ CG Rating ควรสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยรายชื่อ “ที่ปรึกษา” ทุกคนที่ได้รับค่าตอบแทนจากบริษัท และกำลังดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งในกระบวนการยุติธรรม หรือทำงานในหน่วยงานของรัฐ หรือเคยทำงานเหล่านี้มาไม่เกิน 2 ปี ก่อนได้รับค่าตอบแทนจากบริษัท

และการเปิดเผยรายชื่อที่ปรึกษาดังกล่าว หรือไม่ก็ต้องเปิดเผยว่า “บริษัทไม่มีการว่าจ้างที่ปรึกษาใดๆ ที่เข้าข่ายนี้”  ก็ควรเป็นเงื่อนไขข้อหนึ่งในการได้ “5 ดาว” จากโครงการ CG Rating 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

สฤณี อาชวานันทกุล

สฤณี อาชวานันทกุล
นักเขียน นักแปล และนักวิชาการอิสระด้านการเงิน มีความสุขกับการทำงานในประเด็น ธุรกิจที่ยั่งยืน พลังพลเมือง และเกม