ปี 2568 กนอ. ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) ในภาพรวมอย่างน้อย 2,500,000 kg CO2e (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) และจัดทำแผนงานยุทธศาสตร์ของ กนอ. ในการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาวที่มีเป้าหมาย การเข้าถึงน้ำสะอาด พลังงานสะอาด การจ้างงานที่ดี การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สัปดาห์ที่ผ่านมา การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้จัดงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 52 ปี แห่งการดำเนินงาน ซึ่ง กนอ. ในฐานะหน่วยงานหลักในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย เพราะต้องยอมรับว่า อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศไทย ที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ กนอ. คืออีกฟันเฟืองหนึ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตของจีดีพี
เนื่องจาก กนอ. เป็นศูนย์กลางการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมที่เป็นแกนหลักผลิตสินค้า จนสามารถส่งออกได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมาจากการลงทุนของนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ ที่ลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ กนอ.
ขณะที่ก้าวย่างปีที่ 53 นับจากนี้ไป กนอ. ได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานภายใต้แนวคิด "52nd I-EA-T SPIRIT: EMPOWERING SUSTAINABLE FUTURE เสริมสร้างอนาคตนิคมฯ ไทย ก้าวต่อไปสู่ความยั่งยืน" ที่จะเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases: GHGs)
สำหรับในปี 2568 กนอ. ได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) ในภาพรวมอย่างน้อย 2,500,000 kg CO2e (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) รวมทั้งส่งเสริมพลังงานทางเลือก และมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และยกระดับโรงงานให้ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียว 100% ขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรในเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ เช่น ECO 5 มิติ, SMART ECO 4.0, ISO 14001 เพื่อยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำแผนงานยุทธศาสตร์ของ กนอ. ในการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาวที่มีเป้าหมาย การเข้าถึงน้ำสะอาด พลังงานสะอาด การจ้างงานที่ดี การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ล่าสุด สถานภาพการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ณ เดือน ต.ค. 2567 ที่ล่าสุดมียอดเงินลงทุนสะสมสูงถึง 17.24 ล้านล้านบาท ซึ่งสถานภาพการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ณ เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา มีนิคมอุตสาหกรรมรวม 70 แห่ง และท่าเรืออุตสาหกรรม 1 แห่ง ใน 17 จังหวัด คิดเป็นพื้นที่ 191,515 ไร่ มีโรงงานอุตสาหกรรม 5,318 แห่ง เงินลงทุนสะสม 17.24 ล้านล้านบาท และมีแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม 1 ล้านคน
โดยกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่มีการลงทุนสูงสุด ได้แก่
ส่วนนักลงทุนต่างชาติ 5 อันดับแรก เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ สหรัฐฯ และไต้หวัน
ขณะที่ความคืบหน้าโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พบว่าโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง มีพื้นที่ 1,383.76 ไร่ มีความก้าวหน้างานก่อสร้าง 100% พร้อมเปิดดำเนินการตามแผนในปีหน้า ที่เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล
สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 มีคืบหน้ากว่า 90%
“สุเมธ ตั้งประเสริฐ” รักษาการผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวย้ำว่า กนอ. พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทย ให้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ด้วยผลงานอันเป็นที่จับต้องได้อาทิ Smart Park ที่จะเป็นต้นแบบของนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะโฉมใหม่แห่งอนาคต ที่พร้อมเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบ หรือท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 โครงสร้างพื้นฐานอันแข็งแกร่ง ที่เพิ่มขีดความสามารถการขนส่ง พร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการสร้าง "นิคมอุตสาหกรรมยั่งยืน" และความสำเร็จนี้ได้รับการพิสูจน์ด้วยยอดเงินลงทุนสะสมสูงถึง 17.24 ล้านล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลก ที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทย ไม่ว่าโลกจะเผชิญกับสารพัดปัจจัยเสี่ยงใดๆ แต่มั่นใจว่าประเทศไทยยังเป็นหมุดหมายหลักของนักลงทุนทั่วโลก”
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี" ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney