การต่อต้านการรับมือกับภาวะโลกร้อน ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้นำพรรครีพับลิกัน ผู้ซึ่งประกาศตั้งแต่หลายปีก่อนตอนที่เขาเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ระหว่างปี 2017-2021 ว่า ภาวะโลกร้อนเป็น “เรื่องหลอกลวง” (hoax) ทั้งเพ และในแคมเปญหาเสียงรอบนี้เขาก็ประกาศกร้าวกว่าเดิมว่า ภาวะโลกร้อนคือเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์
ผู้เขียนเขียนเรื่อง “ธรรมาภิบาล” (ตัว G ใน Governance) ที่หย่อนยานอย่างยิ่งในไทยติดต่อกันหลายตอน วันนี้ก็ได้เวลาหันกลับมาดูตัวอักษรตัวอื่นๆ ใน ESG ที่นักลงทุนสนใจว่าน่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
ในบรรดาประเด็นทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ E หรือสิ่งแวดล้อม (Environment) ผู้เขียนเห็นว่าไม่มีประเด็นไหนที่ร้อนแรงและได้รับความสนใจทั่วโลกเท่ากับนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ชัดเจนว่า “ต่อต้านการรับมือกับภาวะโลกร้อน” ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้นำพรรครีพับลิกัน ผู้ซึ่งประกาศตั้งแต่หลายปีก่อนตอนที่เขาเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ระหว่างปี 2017-2021 ว่า ภาวะโลกร้อนเป็น “เรื่องหลอกลวง” (hoax) ทั้งเพ และในแคมเปญหาเสียงรอบนี้เขาก็ประกาศกร้าวกว่าเดิมว่า ภาวะโลกร้อนคือเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์และผู้สังเกตการณ์จำนวนมากเฝ้าดูการขึ้นสู่ตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์ด้วยความกังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเมื่อผลกระทบจากภาวะโลกร้อนวันนี้ ในรูปของผลพวงจากสภาพอากาศที่ผันผวนปรวนแปรอย่างยิ่ง ทวีความรุนแรงและชัดเจนยิ่งกว่าในอดีต ปี 2024 เป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เป้าหมายหลักของข้อตกลงปารีส และนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามประสานเสียงเตือนดังขึ้นเรื่อยๆ หลายปีแล้วว่า โลกทั้งใบต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้อย่างน้อย 50% ภายในปี 2030
ข่าวดีก็คือ โลกเรามีเทคโนโลยีพร้อมแล้วที่จะบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส รายงาน Emissions Gap Report 2024 ระบุชัดเจนว่าการใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์มากขึ้นสามารถมีส่วนช่วยบรรลุเป้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 27% ภายในปี 2030 และกลยุทธ์การอนุรักษ์ป่าไม้ที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เช่น การลดการตัดไม้ทำลายป่า การฟื้นฟูป่า และการจัดการป่าไม้ให้ดีกว่าเดิม รวมกันมีส่วนช่วยลดได้ถึง 20% ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ต้องลด การลดในส่วนอื่นๆ สามารถทำได้โดยมาตรการอย่างเช่น การบังคับใช้เกณฑ์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่สูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่ไฟฟ้าและเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง ในภาคอาคาร ขนส่ง และอุตสาหกรรม
แต่การขึ้นสู่อำนาจของทรัมป์สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้การรับมือกับภาวะโลกร้อนชะลอตัวลงหรือแม้กระทั่งถดถอยอย่างรุนแรง เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 11% ของโลก ที่ผ่านมามีบทบาทสำคัญในการส่งเงินสนับสนุนมาตรการรับมือกับภาวะโลกร้อนในประเทศกำลังพัฒนา แถมทรัมป์ประกาศชัดเจนในการหาเสียงว่า เขาสัญญาว่าจะเพิ่มขีดการผลิตพลังงานฟอสซิลในประเทศ และลดการใช้จ่ายเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนลง ส่วนหนึ่งเพราะเขามองว่าอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของอเมริกาเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ใน “ความแข็งแกร่งระดับโลก” ของอเมริกา รัฐควรสนับสนุนอย่างสุดความสามารถภายใต้สโลแกน Make America Great Again
ทรัมป์เป็นผู้นำที่พยายามทำอย่างที่พูดทันทีที่ชนะเลือกตั้ง ในช่วงเวลาเพียงไม่ถึง 100 วันภายหลังจากที่เขาเข้าพิธีสาบานตน รัฐบาลทรัมป์ก็ออกมาตรการมาแล้วไม่น้อยกว่า 109 เรื่อง ในการลด ชะลอ หรือยกเลิกมาตรการรับมือกับภาวะโลกร้อนของรัฐบาลกลางอเมริกันในอดีต เริ่มจากการประกาศยกเลิกคำสั่งเกี่ยวกับการรับมือกับภาวะโลกร้อนและความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม ของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน และประกาศว่าอเมริกาจะถอนตัวจากข้อตกลงปารีส(รอบสอง) ตามข้อมูลใน Climate Backtracker จัดทำโดยศูนย์ซาบินเพื่อกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
คำถามที่น่าสนใจก็คือ ในขณะที่รัฐบาลทรัมป์กำลังเดินหน้ามาตรการต่างๆ ของรัฐบาลกลางที่ชะลอ หรือหลายกรณีก็ต้องเรียกว่า “ต่อต้าน” การรับมือกับภาวะโลกร้อนอย่างเป็นระบบ ความเสียหายจากมาตรการเหล่านี้ต่อโลกจะมีขนาดไหน วาระสี่ปีของทรัมป์ 2.0 จะทำให้โลกหมดหวัง ไม่มีทางเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำจริงหรือไม่
ในด้านบวก นักธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและนักลงทุนจำนวนไม่น้อยชี้ว่า พลังของตลาดซึ่งกำลังผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำวันนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่นโยบายรัฐบาลทรัมป์จะทวนกระแสได้ ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลอาจออกมาตรการยกเลิกการอุดหนุนพลังงานหมุนเวียน แต่ต้นทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนหลายแหล่ง โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ทุกวันนี้ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องและแข่งขันได้กับพลังงานฟอสซิลมาหลายปีแล้ว ส่งผลให้การตัดสินใจลงทุนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการสนับสนุนของรัฐบาลกลางอีกต่อไป
ในระดับโลก ประเทศส่วนใหญ่ประกาศเดินหน้ารับมือกับภาวะโลกร้อน มุ่งหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำต่อไป และประเทศจีนซึ่งวันนี้ผงาดเป็น “มหาอำนาจและคู่แข่งหมายเลขหนึ่ง” ของอเมริกา ก็ประกาศชัดเจนว่าจะเดินหน้าลงทุนในพลังงานหมุนเวียนขนานใหญ่ต่อไป และ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ก็ดูชัดเจนว่าพร้อมที่จะนำประเทศจีนขึ้นแท่นเป็นผู้นำโลกด้านการรับมือกับภาวะโลกร้อน (ซึ่งทุกวันนี้ผู้เขียนเห็นว่า เป็น “soft power” ที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งบนเวทีโลก เพราะมีประเทศมหาอำนาจประเทศไหนบ้างที่จะไม่อยาก “เอาหน้า” ว่ากำลังช่วยกอบกู้โลก ยกเว้นผู้นำประเทศที่เชื่อว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องโกหก)
ข่าวดีในข่าวร้ายอีกเรื่องคือ นโยบายไม่แยแสต่อภาวะโลกร้อนล้วนมี “ราคา” ที่สังคมต้องจ่าย อยู่ที่เราจะมองเห็นและบันทึกอย่างเป็นระบบหรือไม่ ทันทีที่ประธานาธิบดีและรัฐบาลเปลี่ยน ราคาเหล่านั้นก็จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้สมัครประธานาธิบดีต้องใส่ใจกับภาวะโลกร้อน
โชคดีที่อเมริกาเป็นประเทศที่บ้าข้อมูล ชอบบันทึกเรื่องราวและสถิติทุกอย่างที่ขวางหน้า เราจึงได้เห็นงานวิจัยจำนวนมากที่นำเสนอข้อมูลและสถิติเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น บทวิเคราะห์ผลกระทบต่อสุขภาพจากนโยบายทรัมป์สมัยแรก โดย Lancet Commission on Public Policy and Health in the Trump Era ตีพิมพ์ปี 2021 งานชิ้นนี้เสนอว่า นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลทรัมป์สมัยแรกส่งผลให้ “คนตายมากเกินควรมากกว่า 22,000 คน ในปี 2019 เพียงปีเดียว” ส่วนใหญ่จากมลภาวะทางอากาศที่เลวร้ายลง
บทวิเคราะห์อีกชิ้นโดย Rhodium Group ประเมินในปี 2020 ว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลกลาง การทวนกระแสของทรัมป์สมัยแรกจะส่งผลให้สหรัฐอเมริกาปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมมากกว่าเดิมถึง 1.8 กิกะตันเทียบเท่า นับถึงปลายปี 2035
ข่าวดีอีกเรื่องก็คือ ในอดีตเราได้เห็นแล้วว่าเมื่อประธานาธิบดีอเมริกาเปลี่ยนตัว นโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐก็สามารถปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในทางที่ดึงให้การรับมือกับภาวะโลกร้อนกลับมา “เข้ารูปเข้ารอย” ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ไม่เพียงแต่ “พลิก” มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมสมัยทรัมป์ 1.0 ให้กลับมาเหมือนเดิมเท่านั้น แต่ยังผลักดันมาตรการใหม่ๆ อีกมากมายที่ส่งผลดีต่อการรับมือกับภาวะโลกร้อน และดีต่อเศรษฐกิจอเมริกาไปพร้อมกันด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลวันนี้ชัดเจนแล้วว่ากฎหมายหลายฉบับที่ออกในยุคไบเดน อาทิ กฎหมาย Bipartisan Infrastructure Law (2021), CHIPS and Science Act (2022) และ Inflation Reduction Act (IRA) (2022) รวมกันช่วยขับเคลื่อนเงินลงทุน เงินกู้ เครดิตภาษี และมาตรการอื่นๆ มูลค่ารวมหลายล้านล้านสหรัฐในการรับมือกับภาวะโลกร้อน
ฝ่ายวิจัยของ Goldman Sachs วาณิชธนกิจชื่อดัง ประเมินว่ากฎหมาย IRA ฉบับเดียวจะปล่อยเงินอุดหนุนภาครัฐรวมกันมากถึง 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จนถึงปลายปี 2032 ซึ่งเงินจำนวนนี้จะไปขับเคลื่อนการลงทุนกว่า 2.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน และมากถึง 11 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเมื่อนับถึงปี 2050 การลงทุนมากกว่าครึ่งจะทุ่มลงไปในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (ไม่นับนิวเคลียร์และพลังงานน้ำ) ซึ่ง Goldman Sachs คาดการณ์ว่าจะเติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 9% ระหว่างวันนี้จนถึง 2050 ปีเป้าหมาย net zero ของแทบทุกประเทศ
พูดอีกอย่างก็คือ ความสำเร็จของกฎหมาย IRA จะส่งผลให้อเมริกาเข้าสู่ “การปฏิวัติพลังงานยุคที่สาม” ได้สำเร็จ พลังงานหมุนเวียนจะมีสัดส่วนสูงกว่า 75% ของระบบพลังงานอเมริกันในปี 2050
ข่าวดีอีกข่าวก็คือ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ใช้ระบบ “สหรัฐ” รัฐบาลระดับมลรัฐมีสิทธิและอำนาจที่จะดำเนินนโยบายรับมือกับภาวะโลกร้อนของมลรัฐตัวเอง ถึงแม้ทรัมป์จะสั่ง แพม บอนดี อัยการสูงสุดให้ทบทวนและใช้อำนาจระงับกฎหมายโลกร้อนระดับมลรัฐที่เธอมองว่า “ผิดกฎหมาย” ก็ตาม นักกฎหมายจำนวนมากชี้ว่าคำสั่งนี้ของประธานาธิบดีผิดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน เนื่องจากอำนาจหน้าที่ของมลรัฐถูกระบุอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญ และหากอัยการเอาจริง แน่นอนว่ามลรัฐต่างๆ จะฟ้องกลับรัฐบาลกลาง
กล่าวโดยสรุป นโยบายและมาตรการต่อต้านโลกร้อนของรัฐบาลทรัมป์อาจชะลอหรือสร้างอุปสรรคกีดขวางการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้บางระดับ รวมถึงชะลอการลงทุนระดับประเทศที่จำเป็น เช่น การอัพเกรดโครงข่ายไฟฟ้าและสาธารณูปโภคอื่นๆ แต่รัฐบาลทรัมป์ไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและแนวโน้มตลาด อย่างเช่นราคาแผงโซลาร์ที่ลดลงอย่างฮวบฮาบได้
ตลกร้ายก็คือ มลรัฐและเขตต่างๆ ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากกฎหมาย IRA ยุคไบเดน มักเป็นเขตและมลรัฐ “สีแดง” ของพรรครีพับลิกัน (มลรัฐเท็กซัส ปราการหลักของพรรครีพับลิกัน วันนี้เป็นมลรัฐที่มีกำลังการผลิตติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์อันดับหนึ่งในอเมริกา แซงหน้าฐานที่มั่นเดโมแครตอย่างมลรัฐแคลิฟอร์เนียมาสองปีแล้ว) ไม่มีทางที่ประชาชนที่ติดแผงโซลาร์บนหลังคาแล้วอยู่ดีๆ จะอยากรื้อแผงแล้วกลับไปซื้อไฟจากกริดเหมือนเดิม และไม่มีทางที่ผู้ประกอบการจะเลิกแนะนำเครื่องปั๊มความร้อน หันไปแนะนำเตาแก๊สซึ่งด้อยประสิทธิภาพกว่ากัน 3-5 เท่า
บางที เรื่องที่อาจเป็นตลกร้ายที่สุดก็คือ สหรัฐอเมริกายุคนี้อาจปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเดิมโดยที่ทรัมป์ไม่ตั้งใจก็เป็นได้ เพราะนโยบาย “สงครามภาษี” ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าอย่างบ้าเลือดของรัฐบาล กำลังเริ่มผลักให้เศรษฐกิจอเมริกันเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะลดลงเพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัว ไม่ใช่เพราะรัฐบาลมุ่งหน้ารับมือกับภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney