ไทยออยล์ บังคับหลักประกันจากผู้รับเหมา 1.2 หมื่นล้าน โบรกฯ ชี้ ช่วยลดงบลงทุนรอบใหม่ ชูปันผลเด่น 7%

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ไทยออยล์ บังคับหลักประกันจากผู้รับเหมา 1.2 หมื่นล้าน โบรกฯ ชี้ ช่วยลดงบลงทุนรอบใหม่ ชูปันผลเด่น 7%

Date Time: 27 ม.ค. 2568 10:43 น.

Video

SENA สร้างโซลูชันธุรกิจ แก้ปัญหาสังคม แก้วิกฤติอสังหาฯ ขายไม่ออก | On The Rise

Summary

ไทยออยล์ บังคับหลักประกันจากผู้รับเหมาโครงการ CFP จำนวน 1.2 หมื่นล้าน โบรกฯ ชี้ช่วยลดงบลงทุนรอบใหม่ แต่โครงการยังเสี่ยง

Latest


เกาะติดความคืบหน้าโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ล่าสุดมีการเรียกบังคับหลักประกันจากผู้รับเหมาโครงการเป็นมูลค่าประมาณ 12,339 ล้านบาท ตามที่สัญญาจ้างกำหนดไว้ ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มองบวก ชี้ช่วยลดงบลงทุนเดินหน้าโครงการ CFP ส่วนราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว พร้อมคาดทั้งปี 2568 ผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ราว 6-7%

ขณะที่ราคาหุ้น TOP เปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ (27 ม.ค.68) ที่ราคา 28.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือ +6.48% จากราคาปิดวันก่อนหน้า

บัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TOP แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อ เรื่องการเปิดเผยข้อมูลของ Samsung E&A ต่อตลาดหลักทรัพย์ของประเทศเกาหลีใต้ เกี่ยวกับ การชําระเงินเนื่องจากการที่ บริษัท ไทยออยล์ จํากัด ในฐานะเจ้าของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ได้มีการบังคับหลักประกันสําหรับโครงการนั้น

บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า บริษัทฯ ได้บังคับหลักประกันภายใต้สัญญาจ้างเหมาทําของ การออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้างระหว่างบริษัทฯ และ The Consortium of PSS Netherlands B.V. และ an unincorporated joint venture of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. ตามสัญญาฯ และเพื่อประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น เป็นจํานวนเงินประมาณ 12,339 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่าจะดําเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อผลักดันโครงการ ให้เดินหน้าต่อไปให้ดีที่สุด

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากการสอบถามไปยัง TOP ถึงประเด็นดังกล่าว ทาง TOP ชี้แจงว่าการบังคับหลักประกันถือเป็นไปตามสัญญาจ้างการออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้างเป็นจํานวน เงินประมาณ 12,339 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ซึ่งทาง Samsung E&A ถือเป็นผู้รับเหมา 1 ใน 3 ของผู้รับเหมาโครงการ CFP ได้มีการเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ว่าได้จ่ายเงินชดเชยให้กับ TOP จากการดําเนินโครงการ CFP ที่ไม่เป็นไปตามกําหนด ซึ่งคาดว่าผู้รับเหมาอีก 2 ราย ได้แก่ Petrofac และ Saipem จะมีการจ่ายเงินค้ำประกันให้กับธนาคารที่ออก พันธบัตรค้ำประกัน เช่นเดียวกับ Samsung E&A ต่อไป

ดังนั้น TOP จะได้เงินจากเงินค้ำประกันรวมราว 358 ล้านเหรียญฯ ซึ่งคาดจะมาช่วยลดงบลงทุนโครงการ CFP ที่ทาง TOP ประกาศก่อนหน้านี้ 1,776 ล้านเหรียญฯ เหลือราว 1,418 ล้านเหรียญฯ (ผู้ตรวจสอบบัญชีของ TOP พิจารณา ให้รายการเงินหลักประกันที่ได้รับจากกลุ่ม UJV ไปลดต้นทุนวงเงินก่อสร้างในโครงการ CFP ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ โดยไม่ให้บันทึกเป็นรายได้อื่น)

โดย TOP จะยังคงเดินหน้าโครงการ CFP ตามแผนเพื่อให้แล้วเสร็จในปี 2571 ตามแผนใหม่ที่ประกาศไว้ รวมถึงการใช้สิทธิตามสัญญาอยู่เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น ทั้งนี้คาดประเด็นดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อราคาหุ้นเนื่องจากมีเงินเข้ามาช่วยโครงการ CFP แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2568 ที่ 41บาท/หุ้น ไว้ก่อน เนื่องจากโครงการยังมีความเสี่ยงอยู่กว่าจะแล้วเสร็จตามแผนใหม่ในปี 2571 ภายใต้หลักความระมัดระวัง

ซึ่งราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆโดยเฉพาะประเด็นการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ไปแล้วระดับหนึ่ง จนมี downside ที่จำกัดมากขึ้นแล้ว ประกอบกับยังมีจุดเด่นอยู่ที่เงินปันผลที่ผู้บริหารมีความตั้งใจที่จะจ่ายอยู่ในระดับ payout ใกล้เคียงเดิมที่ 40% ทำให้คาดการณ์ Dividend Yield ครึ่งปีหลังอยู่ในระดับที่ดีราว 3% (ครึ่งปีแรกจ่าย 1.2 บาท คาดครึ่งปีหลังจ่าย 0.8 บาท) และทั้งปี 2568 อยู่ราว 6-7%


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ