ในโลกที่เศรษฐกิจผันผวนและเต็มไปด้วยความท้าทาย หลายธุรกิจกำลังมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง “อินโดนีเซีย” หนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน กำลังผงาดขึ้นเป็นเป้าหมายสำคัญที่นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้าม ด้วยขนาดตลาดที่ใหญ่ ประชากรกว่า 270 ล้านคน และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อินโดนีเซียจึงเป็นดินแดนแห่งโอกาสที่พร้อมต้อนรับนักธุรกิจไทยที่ต้องการขยายฐานและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารเพอร์มาตา บริษัทในเครือธนาคารกรุงเทพ จึงได้เปิดเวทีเจาะลึก “อินโดนีเซีย” ตลาดใหญ่ที่มั่นคง กับเป้าหมายการก้าวขึ้นเป็นเศรษฐกิจสำคัญอันดับ 4 ของโลกภายในปี 2588 พร้อมเดินหน้าหนุนผู้ประกอบการไทยคว้าโอกาสทองทางธุรกิจ ด้วยศักยภาพเครือข่ายธนาคารเพอร์มาตากว่า 200 สาขาในอินโดนีเซีย ครอบคลุมลูกค้าบุคคล ธุรกิจในประเทศ และบริษัทต่างชาติที่ต้องการลงทุนในอินโดนีเซีย ตอกย้ำบทบาท ‘ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค’ เชื่อมโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่านเวทีเสวนา “Indonesia Investment & Trade Forum 2025” ที่เป็นโอกาสดีในวาระครบรอบ 75 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
บทความนี้ Thairath Money จะพาไปเจาะลึกถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย โอกาสทองของนักลงทุนไทย และบทบาทสำคัญของธนาคารกรุงเทพในการสนับสนุนให้ธุรกิจไทยสามารถคว้าโอกาสเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในเวทีอาเซียน
ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน และคาดว่าจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกภายในปี 2588 ทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งมีประชากรสูงถึง 270 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีสัดส่วนถึง 68% ที่อยู่ในกลุ่มวัยทำงาน ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า รวมทั้งยังมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวจาก 3,370 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 4,980 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 แสดงให้เห็นถึงระดับความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุน การผลิต สินค้าอุปโภคบริโภค และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้อินโดนีเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนไทย
โดยธนาคารกรุงเทพมีความพร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย ด้วยประสบการณ์ ความเข้าใจ และเครือข่ายท้องถิ่น ในฐานะหนึ่งในบริษัทไทยกลุ่มแรกที่เข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย ตั้งแต่ปี 2511 และในปี 2563 ยังได้ตอกย้ำความมั่นใจในศักยภาพของอินโดนีเซียด้วยการลงทุนมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในธนาคารเพอร์มาตา ซึ่งนับเป็นการเข้าซื้อกิจการธนาคารในอาเซียนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ส่งผลให้ปัจจุบันธนาคารเพอร์มาตา ได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 10 ธนาคารที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ด้วยเครือข่ายกว่า 200 สาขา ให้บริการครอบคลุมทั้งลูกค้าบุคคล ธุรกิจในประเทศ และบริษัทต่างชาติที่ต้องการลงทุนในอินโดนีเซีย
“ธนาคารกรุงเทพ เชื่อมั่นในศักยภาพของอินโดนีเซียมาโดยตลอด ที่ผ่านมาเราได้สั่งสมความรู้ ความเข้าใจ และเครือข่ายในท้องถิ่น พร้อมทั้งส่งเสริมให้บริษัทไทยอื่น ๆ เห็นถึงโอกาสในอินโดนีเซียผ่านการแบ่งปันประสบการณ์และความสำเร็จของเรา ซึ่งไทยและอินโดนีเซียในฐานะสองเศรษฐกิจใหญ่ของภูมิภาค มีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสที่มั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน โดยจะช่วยป้องกันผลกระทบจากกระแสเศรษฐกิจโลก และยังช่วยเชื่อมโยงนักลงทุนกับโอกาสในอาเซียนและภูมิภาคอื่น ๆ อีกด้วย” ชาติศิริ กล่าว
สะท้อนให้เห็นถึงคำกล่าวที่ว่า "เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน" ที่ธนาคารกรุงเทพพยายามดำเนินการมาโดยตลอด โดยใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากการอยู่ในอินโดนีเซียมานาน เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในอินโดนีเซีย รวมถึงส่งเสริมให้นักลงทุนไทยกล้าที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศนี้
ชาติศิริ กล่าวเสริมว่า อินโดนีเซียมีศักยภาพและวัตถุดิบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านแร่ธาตุ โอกาสในการทำธุรกิจด้านเกษตรกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน การขนส่ง และโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนไทยควรพิจารณา อาจเริ่มต้นจากการค้าขายก่อน แล้วค่อยขยายไปสู่การลงทุนในภายหลัง
ทั้งนี้จากการที่อินโดนีเซียให้ความสำคัญกับ 8 ธุรกิจ ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจขนาดใหญ่แล้ว ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ก็มีโอกาสมากมายเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจของอินโดนีเซียมีความหลากหลายสูงและมีขนาดตลาดที่ใหญ่ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชน การบรรจุหีบห่อ อาหาร หรือส่วนประกอบต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมรถยนต์และไฟฟ้า เนื่องจาก GDP ของอินโดนีเซียคิดเป็น 2 เท่าของประเทศไทย
ธนาคารกรุงเทพยังมองเห็นโอกาสในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Green Loan Green Energy ที่สอดคล้องกับแนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
“แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงในภาพรวมของเศรษฐกิจโลก แต่การลงทุนในอาเซียนโดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนาม ยังคงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนไทย เนื่องจากมีความใกล้เคียงกันทางวัฒนธรรมและพื้นฐานทางธุรกิจ สิ่งสำคัญคือการศึกษาทำความเข้าใจลักษณะของการลงทุนที่กำลังจะเข้าไป ใช้ความเชี่ยวชาญของตนเอง และทำความเข้าใจพื้นฐานของท้องถิ่น วัฒนธรรม และการดำเนินธุรกิจของอินโดนีเซียอย่างรอบคอบเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ” ชาติศิริ กล่าว
ด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพอันมหาศาลของอินโดนีเซีย โดยชี้ให้เห็นถึงข้อได้เปรียบและโอกาสในการลงทุนที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
1.ตลาดขนาดใหญ่และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น
อินโดนีเซียจะเป็นเป้าหมายในการทำธุรกิจของคนไทยในอนาคต โดยอินโดนีเซียมีประชากรเกือบ 300 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องประมาณ 5% ต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้มีชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นหลาย 100 ล้านคนในอนาคต ทำให้เกิดกำลังซื้อขนาดใหญ่สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, เครื่องนุ่งห่ม, หรือของใช้ในครัวเรือน
2.ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการลงทุน
ดร. กอบศักดิ์ ชี้ว่าประเทศไทยนำหน้าอินโดนีเซียในวัฏจักรการผลิตประมาณ 10-15 ปี หลายอุตสาหกรรมที่ไทยกำลังชะลอตัวกลับกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในอินโดนีเซีย ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ซึ่งอินโดนีเซียผลิตได้ถึง 8 ล้านคันต่อปี ในขณะที่ไทยเคยผลิตสูงสุดเพียง 2 ล้านคันและกำลังลดลง นี่เป็นโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความรู้และเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมที่คล้ายคลึงกัน
3.การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
อินโดนีเซียกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็ว คล้ายกับประเทศไทยในช่วงปี 2535 ที่มีการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม, รถไฟ, ถนนมอเตอร์เวย์ และการพัฒนาเมืองอย่างก้าวกระโดด นี่คือโอกาสในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง
4.อุตสาหกรรมแร่ธาตุ
อินโดนีเซียอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญมากมาย ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
5.ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์
การเดินทางไปยังเกาะสุมาตรา เช่น เมืองเมดาน ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมงจากภาคใต้ของไทย ซึ่งสะดวกและรวดเร็วสำหรับนักธุรกิจไทยที่ต้องการเริ่มต้นสำรวจตลาด
ทั้งนี้ ดร. กอบศักดิ์ ยังได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าไปทำธุรกิจในอินโดนีเซีย ดังนี้
1.ทำความเข้าใจด้านภาษาและวัฒนธรรม
อินโดนีเซียใช้ภาษาบาฮาซา เป็นภาษาราชการและภาษาประจำชาติ แต่การใช้ภาษาอังกฤษค่อนข้างดี การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต้องใช้เวลาและความเข้าใจ
2.หาพันธมิตรทางธุรกิจที่เชื่อถือได้
การมีพันธมิตรที่ดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำธุรกิจต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพและธนาคารเพอร์มาตา พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำพันธมิตรที่เหมาะสมในแต่ละอุตสาหกรรม
3.เลือกอุตสาหกรรมและเมืองที่เหมาะสม
บางอุตสาหกรรมอาจดูดีแต่ไม่ทำกำไร การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารจะช่วยให้เลือกอุตสาหกรรมที่มีโอกาสแท้จริง นอกจากนี้ อินโดนีเซียมี 5 เกาะหลัก แต่ละเกาะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจแต่ละเมือง เช่น จาการ์ตา สุราบายา หรือเมดาน (ซึ่งมีคนจีนจำนวนมาก) เป็นสิ่งสำคัญ
4.ลงพื้นที่จริงเพื่อสัมผัสโอกาส
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเดินทางไปสำรวจตลาดด้วยตนเอง เพื่อสัมผัสถึงความคึกคัก พลังงาน และโอกาสทางธุรกิจที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนในอินโดนีเซีย
มลิสา รุสลี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพอร์มาตา อินโดนีเซีย ในเครือธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า จากการดำเนินยุทธศาสตร์ “Golden Indonesia 2045” ของรัฐบาลอินโดนีเซียที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนโครงการเศรษฐกิจสีเขียว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และโครงการเทคโนโลยีดิจิทัล
รัฐบาลอินโดนีเซียยังมีนโยบายเชิงรุกในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการสนับสนุน ทั้งในด้านกฎหมาย สิทธิประโยชน์ และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อภาคธุรกิจ ทั้งนี้ “ธนาคารเพอร์มาตา” พร้อมผลักดันลูกค้าและพันธมิตรในภูมิภาคเพื่อคว้าโอกาส ผ่านบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างครบวงจร พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึกด้วยเครือข่ายกว่า 240 สาขาที่ครอบคลุม 82 เมืองสำคัญทั่วอินโดนีเซีย ให้ทุกธุรกิจดำเนินการได้อย่างราบรื่น
“ธนาคารกรุงเทพและธนาคารเพอร์มาตา พร้อมใช้ศักยภาพเครือข่าย บริการ และความเชี่ยวชาญในพื้นที่ ให้คำปรึกษาและสนับสนุนสร้างความเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนสู่ประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นโอกาส อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า 2.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงและวัตถุดิบจากไทยยังเป็นที่นิยมบริโภคของคนอินโดนีเซียและมีการนำเข้าสูงเป็นอันดับต้นๆ จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสของผู้ประกอบการไทย ในการเข้ามาทำตลาดหรือการค้าในอินโดนีเซียมากยิ่งขึ้น” เมลิสา กล่าว
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “อินโดนีเซีย” ไม่เพียงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพมหาศาล แต่ยังเป็นเวทีแห่งโอกาสที่ไทย "ไม่ควรมองข้าม" การเข้าไปลงทุนในวันนี้จึงเปรียบเสมือนการจับจังหวะที่ลงตัว โดยมีธนาคารกรุงเทพและธนาคารเพอร์มาตาเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน ที่พร้อมเชื่อมโยงทุกโอกาสและนำพาธุรกิจไทยให้ก้าวสู่ความสำเร็จในดินแดนแห่งนี้ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน