วัดพลัง 3 หุ้นปั๊ม “OR - PTG - BCP” ส่องธุรกิจ “น้ำมัน-กาแฟ” สมรภูมิไหน ใครแกร่ง-ใครโตแรง ?

หุ้นในกลุ่มปั๊มน้ำมันถือเป็น "หุ้นมหาชน" ที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจเป็นพิเศษ นั่นเพราะเป็นธุรกิจที่ใกล้ตัวเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการแวะเติมน้ำมัน ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ หรือจิบกาแฟแก้ง่วงระหว่างเดินทาง

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้มีแค่การขายน้ำมันอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปสู่ธุรกิจ Non-Oil อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสร้างกระแสเงินสดและรายได้อย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดความผันผวนจากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี

Thairath Money พาเปิดข้อมูล 3 หุ้นปั๊มดัง ได้แก่ หุ้น OR (บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก) หุ้น PTG (บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี) และหุ้น BCP (บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น) เพื่อเป็นข้อมูลให้นักลงทุนประกอบการตัดสินใจว่าใครน่าลงทุนที่สุด ?

ส่องโครงสร้างธุรกิจ 3 ปั๊มดัง ใครทำอะไรบ้าง ?

ก่อนจะเปรียบเทียบผลประกอบการ ต้องเข้าใจก่อนว่าทั้ง 3 บริษัทมีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างกันในบางมิจิ ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้โดยตรงทั้งหมด

เริ่มด้วย บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR นับเป็นพี่ใหญ่ในตลาด มีธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ค้าปลีกน้ำมัน (Mobility), ธุรกิจ Non-Oil ที่แข็งแกร่งมากอย่าง "Café Amazon" และยังขยายธุรกิจในต่างประเทศ (Global) ด้วย

ส่วน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น PTG เน้นธุรกิจค้าปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการ PT เป็นหลัก และกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในธุรกิจ Non-Oil โดยมี "กาแฟพันธุ์ไทย" เป็นหัวหอกสำคัญในการสร้างการเติบโต

ขณะที่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น BCP เป็นบริษัทพลังงานแบบครบวงจร (Integrated) ที่มีธุรกิจหลากหลาย ตั้งแต่ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันขนาดใหญ่, ธุรกิจการตลาด (ปั๊มน้ำมันบางจาก), ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด, ไปจนถึงธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ

เปิดงบการเงินล่าสุด พบ “รายได้-กำไร” ร่วงรับราคาน้ำมัน

เมื่อดูผลประกอบการล่าสุดไตรมาส 2/2568 แต่ละบริษัทก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจแตกต่างกันไป ดังนี้

โดย OR ในไตรมาส 2/2568 มีรายได้ 167,166 ล้านบาท ลดลง 9.1% จากปีก่อน และกำไรสุทธิ 2,232 ล้านบาท ลดลง 12.0% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่ลดลงและปริมาณขายที่ลดลงตามฤดูกาล

แต่ในภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2568 กลับทำได้ดี โดยมีกำไรสุทธิถึง 6,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจ Lifestyle และธุรกิจในต่างประเทศที่เข้ามาช่วยพยุงผลประกอบการโดยรวมไว้ได้

ด้าน PTG ในไตรมาส 2/2568 มีรายได้ 56,496 ล้านบาท ลดลง 2.2% จากปีก่อน และกำไรสุทธิ 312 ล้านบาท ลดลง 33.2% จากปีก่อน แม้กำไรจะลดลงแต่ก็เติบโตถึง 68.3% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี

ปัจจัยหลักที่กดดันคือราคาขายปลีกน้ำมันที่ลดลง แต่ธุรกิจ Non-Oil โดยเฉพาะกาแฟพันธุ์ไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สำหรับครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 113,903 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 498 ล้านบาท

ส่วน BCP ในไตรมาส 2/2568 มีรายได้ 125,827 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อน และขาดทุนสุทธิถึง 2,560 ล้านบาท ซึ่งการขาดทุนหนักนี้มีสาเหตุหลักมาจาก ธุรกิจโรงกลั่นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงแรง ทำให้เกิดขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน (Inventory Loss) สูงถึง 3,472 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากดูเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) บริษัทยังคงมีกำไรอยู่ที่ 1,247 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมครึ่งปีแรกก็ยังคงขาดทุนสุทธิ 445 ล้านบาท

เจาะลึกสมรภูมิร้านกาแฟ OR ยังแชมป์ - PTG ดาวรุ่ง

ธุรกิจร้านกาแฟได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่สะท้อนกลยุทธ์และศักยภาพการเติบโตของหุ้นกลุ่มปั๊มน้ำมันแต่ละรายอย่างชัดเจน

เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในสถานี แต่ยังเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงกว่าการขายน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย

OR เจ้าของ Café Amazon ผู้นำตลาดที่ยังคงแข็งแกร่ง

Café Amazon ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟในปั๊ม แต่เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำตลาดอย่างชัดเจน จำนวนสาขาและยอดขาย ณ ไตรมาส 2/2568 มีสาขารวมทั้งสิ้น 4,547 แห่ง ซึ่งทิ้งห่างคู่แข่งไปมาก

โดยในไตรมาสเดียวมียอดขายสูงถึง 107 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 4.9% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2.9% จากไตรมาสก่อน  สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มของ OR ซึ่งมี Café Amazon เป็นหัวหอกหลัก สร้างรายได้ในไตรมาส 2/2568 ถึง 4,312 ล้านบาท เติบโต 8.9% จากปีก่อนหน้า และมี EBITDA Margin ของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ทั้งหมดอยู่ที่ระดับสูงถึง 28.7% แม้จะลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย แต่ก็ยังสูงกว่ากลุ่มธุรกิจอื่นอย่างชัดเจน

OR ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน โดยมีสาขานอกสถานีบริการคิดเป็นสัดส่วน 47.8% และยังขยายไปในต่างประเทศอีก 36 สาขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคในทุกที่

PTG เจ้าของ กาแฟพันธุ์ไทย ดาวรุ่งที่เติบโตแบบก้าวกระโดด

กาแฟพันธุ์ไทยคือ "Growth Story" หรือเรื่องราวการเติบโตที่น่าจับตาที่สุดของ PTG ในตอนนี้ แม้จะมีสาขา 1,642 แห่ง แต่จุดที่น่าสนใจคืออัตราการเติบโตที่สูงมาก โดยขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึง 59.7% จากปีก่อนหน้า หรือเฉลี่ย 1.7 สาขาต่อวัน และมีเป้าหมายที่จะขยายให้ถึง 1,947 สาขา ภายในสิ้นปี 2568 

ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยสร้างปรากฏการณ์ด้วยการทำรายได้ในไตรมาส 2/2568 ทะลุ 1,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรก โดยอยู่ที่ 1,219 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 135.6% จากปีก่อนหน้า และยังมีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same-Store-Sales) ที่สูงถึง 40-50% การเติบโตนี้ส่งผลให้สัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-Oil ของ PTG เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

PTG ได้ปรับเป้าการเติบโตของรายได้ธุรกิจ Non-Oil ทั้งปีขึ้นเป็น 50-60% และปรับเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นขึ้นเป็น 35-40% สะท้อนความเชื่อมั่นในการเติบโตของกาแฟพันธุ์ไทย นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทาน โดยร่วมมือกับกรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อพัฒนาคุณภาพเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรโดยตรงด้วย

BCP เจ้าของ อินทนิล คอฟฟี่ ผู้เล่นคนสำคัญที่มุ่งสู่ความยั่งยืน

อินทนิล เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นคนสำคัญในตลาด ที่วางตำแหน่งตัวเองให้เป็นส่วนหนึ่งของ "Greenovative Destination" ของบางจาก ด้วยจำนวนสาขา ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ที่ 1,080 แห่ง เพิ่มขึ้น 45 สาขาจากไตรมาสก่อน และมีเป้าหมายที่จะขยายให้ถึง 1,400 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ 

บางจาก ตั้งเป้าให้สถานีบริการน้ำมันเป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์คนทุกวัย โดยมีร้านกาแฟอินทนิลเป็นหนึ่งในแม่เหล็กสำคัญ ควบคู่ไปกับการขยายสถานีบริการและจุดชาร์จ EV ให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ภายในสถานีบริการ

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

https://www.thairath.co.th/money/investment

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้

https://www.facebook.com/ThairathMoney