หุ้นกลุ่ม ปตท. ทั้ง 8 บริษัท รายงานงบการเงินต่อตลาดหลักทรัพย์งวดไตรมาส 2/68 และครึ่งแรกปี 2568 เป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางภาวะราคาพลังงานและปิโตรเคมีที่มีความผันผวนอย่างหนัก มีทั้งบริษัทที่สามารถยืนหยัดทำกำไรได้อย่างน่าพอใจ และบริษัทที่ต้องเผชิญกับผลขาดทุนจากผลกระทบของราคาตลาดและสต็อกน้ำมันอย่างหนักหน่วง
หุ้นกลุ่ม ปตท. ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2568 และครึ่งแรกของปี 2568 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางภาวะราคาพลังงานและปิโตรเคมีที่มีความผันผวนอย่างหนัก
ซึ่งสะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรมที่ยังคงมีความเปราะบางและท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศ
ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท. ในครั้งนี้ จึงเป็นเหมือนบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของแต่ละบริษัทในการรับมือกับความท้าทายรอบด้าน ซึ่งมีทั้งบริษัทที่สามารถยืนหยัดทำกำไรได้ และบริษัทที่ต้องเผชิญกับผลขาดทุนจากผลกระทบของราคาตลาดและสต็อกน้ำมันอย่างหนักหน่วง
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น PTT รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2/68 ที่ 21,533 ล้านบาท ลดลง 39.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท ลดลง 30.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลการดำเนินงานที่ลดลง มีสาเหตุหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่อ่อนตัวลง โดยเฉพาะผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันที่เกิดขึ้นในครึ่งปีแรกประมาณ 5,800 ล้านบาท สวนทางกับปีก่อนที่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน
นอกจากนี้ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมก็มีผลการดำเนินงานลดลงจากราคาและปริมาณขายเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลงด้วย
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น PTTEP รายงานว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 408 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.35 หมื่นล้านบาท) ลดลง 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนงวด 6 เดือนแรก ปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 895 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3 หมื่นล้านบาท) ลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิลดลง มาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มสูงขึ้น
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR ทำกำไรสุทธิในไตรมาส 2/68 ได้ 2,232 ล้านบาท ลดลง 12.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 6,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6%
แม้ว่ากลุ่มธุรกิจ Mobility จะได้รับผลกระทบจากราคาจำหน่ายน้ำมันที่ลดลงตามตลาดโลก แต่กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยรายได้เพิ่มขึ้น 4.2% ในครึ่งปีแรก จากการขยายสาขาทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ โดยเฉพาะยอดขายของ Café Amazon ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไปถึง 107 ล้านแก้วในไตรมาส 2/68 ช่วยหนุนให้กำไรสุทธิในภาพรวมยังคงเติบโตได้
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TOP มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/68 ที่ 6,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,431 ล้านบาท หรือ 16.74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่งวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 9,979 ล้านบาท ลดลง 12.54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรมาจากธุรกิจการกลั่นเป็นหลัก โดยค่าการกลั่น (Market GRM) ปรับตัวสูงขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้กำไรจากการต่อรองราคาในการเข้าซื้อธุรกิจของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ในสิงคโปร์
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น PTTGC รายงานผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/68 ที่ 3,616 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,846 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 ขาดทุนสุทธิ 6,183 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,240 ล้านบาท
บริษัทฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน (Stock loss) และการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) รวมกันกว่า 1,891 ล้านบาทในไตรมาส 2 ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมียังคงเผชิญกับความท้าทายจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวและอุปทานส่วนเกินในตลาด ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับต่ำ
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC รายงานผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/68 ที่ 2,132 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 732 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 ขาดทุนสุทธิ 3,338 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 812 ล้านบาท
เช่นเดียวกับ PTTGC, IRPC ได้รับผลกระทบจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ และมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิ (Net Inventory Loss) ถึง 2,019 ล้านบาทในไตรมาส 2 ซึ่งสวนทางกับปีก่อนที่มีกำไรจากส่วนนี้
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น GPSC มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/68 ที่ 2,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 3,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38%
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตคือส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากโครงการ CFXD ในไต้หวัน ที่รับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจากค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันใหม่ที่แข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ ผลประกอบการของโรงไฟฟ้า XPCL และ AEPL ก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน
ปิดท้ายด้วยน้องเล็กสุดอย่าง บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น GGC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PTTGC โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิ 168 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลขาดทุนที่ลดลง (ดีขึ้น) 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีผลขาดทุนสุทธิ 374 ล้านบาท
แม้จะยังคงมีผลขาดทุน แต่รายได้จากการขายรวมในไตรมาส 2/2568 กลับเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจที่ 5,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจาก กลุ่มธุรกิจแฟตตี้แอลกอฮอล์ ที่รายได้เติบโตถึง 60% เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบและความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากอุปทานในตลาดที่ตึงตัว
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้