ทีเอ็มบีธนชาต เปิดตัว “Investment Office” ชูธง “ผลตอบแทนยั่งยืน” พร้อมเปิด 5 ปัจจัยชี้ทิศทางลงทุนโค้งสุดท้ายของปี 2568
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เปิดมุมมองโค้งสุดท้ายของปี ชี้ตลาดยังผันผวนแต่ไม่ใช่สัญญาณลบ แนะนักลงทุน “ลงทุนต่อเนื่อง” เพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว พร้อมเดินเกมรุก ส่ง “Investment Office” หน่วยงานวางกลยุทธ์การลงทุนที่เป็นอิสระเต็มรูปแบบ ชูแนวคิด “ผลตอบแทนไม่ต้องสูงสุด แต่ต้องยั่งยืน”
นาวิน อินทรสมบัติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารการลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต ให้มุมมองว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ตลาดการเงินโลกจะยังคงมีความผันผวน แต่ไม่ใช่สัญญาณลบต่อการลงทุน
ธนาคารจึงยังคงแนะนำให้นักลงทุน “ลงทุนต่อเนื่อง (Stay Invest)” แทนที่จะพยายาม “จับจังหวะลงทุน (Timing)”
ปัจจัยบวกที่ยังคงสนับสนุนตลาด มาจากแนวโน้มที่ราคาน้ำมันดิบจะยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งช่วยให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่พุ่งแรง เปิดทางให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สามารถลดดอกเบี้ยต่อได้ในปีนี้
นอกจากนี้ ท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องภาษีที่ผ่อนคลายขึ้น และการเจรจาการค้าที่ยังดำเนินต่อไป โดยเฉพาะกับจีน รวมถึงมาตรการลดภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
และทำให้เศรษฐกิจโดยรวมยังขยายตัวต่อไปได้โดยไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งเป็นผลดีกับภาพรวมและบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก
เบื้องหลังมุมมองและคำแนะนำการลงทุนนี้ คือทีม Investment Office ซึ่งทำหน้าที่กำหนดกลยุทธ์และทิศทางการลงทุนทั้งหมดของ ทีเอ็มบีธนชาต ภายใต้แนวคิด “Total Wealth Solution”
ทีม Investment Office ถูกจัดตั้งขึ้นให้มี “อิสระ” ในการกำหนดกลยุทธ์อย่างเต็มที่ โดยทีมงานผู้มีประสบการณ์สูง จะทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยประมวลผล เพื่อให้ได้มุมองที่ “แม่นยำ” และ “แตกต่าง” จากตลาด
“โครงสร้าง Investment Office ของเราถูกออกแบบให้เป็นอิสระ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝั่งธุรกิจรายย่อยหรือองค์กร แต่จะรายงานตรงต่อ CEO เพื่อให้เกิดความเป็นกลางในการให้ความเห็นด้านการลงทุนอย่างแท้จริง ซึ่งในช่วงแรกจะครอบคลุมการดูแลลูกค้ารายย่อยและช่วยสนับสนุนการลงทุนของลูกค้าสถาบัน” นาวิน กล่าว
หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นซึ่งเป็นผลผลิตจากมุมมองของ Investment Office โดยตรง คือ กองทุน ES-USTECH ที่ออกมารับธีม “Next Stage of Gen AI” โดยสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง +46.38% ในปี 2566 และ +30.19% ในปี 2567 (ข้อมูล ณ 25 ส.ค. 68)
นอกจากนี้ กองทุนเรือธงอย่างซีรีส์ Eastspring Ultimate Global Allocation (ES-ULTIMATE GA 1/2/3) ซึ่งบริหารโดย Amundi Asset Management ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลก ก็ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างมาก จนมีมูลค่าสินทรัพย์รวม (AUM) ทะลุ 10,000 ล้านบาท และสามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นนับตั้งแต่จัดตั้งเมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ทีเอ็มบีธนชาต ตั้งเป้าหมายเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้บริหารส่วนเพิ่มที่เกิดจากทีม Investment Office ปี 2568 ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีลูกค้า 5-6 หมื่นราย โดยได้พัฒนา Portfolio Modeling ที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามได้จริง เพื่อตอบโจทย์ทุกเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ได้แก่
ทั้งนี้ มองว่านักลงทุนไทยเมื่อขาดทุนจะรับไม่ค่อยได้และตกใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ จึงเริ่มจากจุดนี้สร้างผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถลงทุนอยู่กับตลาดได้ในระยะยาว
เพราะหากเราดูสถิติตั้งแต่สงครามโลก สินทรัพย์ทุกประเภทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตลอด เพียงแต่ระหว่างทางอาจเจอกับวิกฤติบ้าง หากลูกค้าไม่ตัดสินใจขายออกไปก่อน สุดท้ายพอร์ตก็จะเติบโตขึ้น
ทีม Investment Office จึงมีแนวคิดที่ว่า “ผลตอบแทนไม่ต้องสูงสุด แต่เป็นผลตอบแทนที่ยั่งยืน” โดยจะไม่ไล่ล่ากองทุนที่ทำผลงานสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง แต่จะค้นหาผู้กองทุนที่สามารถ “จำกัดการขาดทุน” ในช่วงตลาดขาลง เพื่อสร้างความสบายใจให้กับลูกค้า ซึ่งสะท้อนออกมาในกองทุนอย่าง ES-GAINCOME และซีรีส์ ES-ULTIMATE GA ที่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งกองทุน Global Equity เช่น กองทุนหุ้นเอเชีย (ASIA LOW Volatility) ที่เน้นคัดเลือกหุ้นผันผวนต่ำ และ Global Fixed Income กองทุนตราสารหนี้ เพื่อเป็นทางเลือกลงทุนในช่วงตลาดผันผวน แต่ยังให้ผลตอบแทนที่ดี
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้