“อุตสาหกรรมการแพทย์” ของไทย นับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ ทั้งด้านยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง ส่งผลให้การแพทย์ของไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล
อย่างไรก็ตาม แม้ “ประเทศไทย” จะมีจุดแข็งด้านการแพทย์ที่แข็งแกร่ง แต่ในมิติของ Deep Tech Startup ในด้าน Health Tech กลับยังเผชิญข้อจำกัดไม่ว่าจะเป็น ความซับซ้อนในการลงทุน กฎระเบียบที่ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับธุรกิจด้านอื่น อย่างเช่น อีคอมเมิร์ซ Food Tech ฯลฯ
ขณะเดียวกัน Ecosystem ยังไม่ดีพอที่จะดึงคนให้มาทุ่มเท ทำให้นักลงทุนไม่ค่อยให้ความสนใจที่เข้ามาลงทุนในด้านนี้มากนัก แต่หากมีการผลักดัน Deep Tech Startup ด้าน Health Tech ให้เกิด Unicorn ขึ้น จะทำให้คนจำนวนมากที่เป็นนักวิจัยหันมาทุ่มเท และทำให้เกิดการผลักดันของระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ “มหาวิทยาลัยมหิดล” ลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลง ผ่านการจัดตั้ง “MU Holding” ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อทำหน้าที่จัดการและบริหารจัดการทรัพย์สิน ตลอดจนดำเนินธุรกิจในเชิงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับผลงานวิจัย นวัตกรรม และทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้จากงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ที่ผ่านมาสตาร์ทอัพกลุ่ม Health Tech ที่พัฒนายาใหม่และเวชภัณฑ์ในไทยยังขาดการจัดการอย่างเป็นระบบ ทั้งข้อจำกัดด้านการเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพที่ดีมีศักยภาพในการเติบโต และปัญหาเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุน
ดังนั้น MU Holding จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้งานวิจัยที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาของนักวิจัยไทยได้รับการผลักดันออกไปสู่เชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็น ยารักษาโรค อาหารเสริม การรักษาแนวใหม่ หรือแม้กระทั่ง AI เพื่อทำให้เกิดเป็นผลิตผลทางเศรษฐกิจที่ทำให้ GDP ประเทศไทยกระเตื้องขึ้น พร้อมกับส่งออกไปยังระดับภูมิภาคได้ในที่สุด
1.การพัฒนา Ecosystem ด้านนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการขยายตัวและความสำเร็จเชิงพาณิชย์ของนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยมหิดลและประเทศไทย โดยเชื่อมโยงทรัพยากรความรู้ และพันธมิตรเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจและเทคโนโลยี
2.สร้างรายได้ผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ด้วยแนวทางใหม่ที่แตกต่างจากรูปแบบการลงทุนแบบเดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการเงินและต่อยอดทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย
3.ขยายโอกาสสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเชื่อมโยงกับ Startup และ Ecosystem ระดับสากล เพื่อสร้าง Global Exposure พร้อมยกระดับศักยภาพของมหาวิทยาลัยและพันธมิตรสู่เวทีโลก
“MU Holding มีพันธกิจคือการเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยดำเนินงานตามแนวทางของกองทุนร่วมลงทุน หรือที่เรียกว่า Venture Capital ที่มีมาตรฐานระดับสากล”
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวต่อไปว่า การจัดสรรเงินทุนตั้งต้นมีรูปแบบการจัดสรรงบประมาณดังต่อไปนี้
1.เงินลงทุนในพอร์ตโฟลิโอ
เงินทุนส่วนแรกมีลักษณะการลงทุนเหมือน Venture Capital ระดับสากล มีกลยุทธ์การลงทุนโดยตรงใน Startup จากภายในและภายนอก Ecosystem ของมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงการลงทุนผ่านกองทุน VC Funds ระดับนานาชาติ นอกจากนี้จะเตรียมเงินลงทุนสนับสนุนการขยายตลาด เพื่อส่งเสริมบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตสูง (Quick Win) และเงินทุนสำรอง ที่จะลงทุนต่อเนื่องใน Startups ที่มีผลประกอบการและศักยภาพที่ดี
2.โครงการเชิงกลยุทธ์และเครือข่ายพันธมิตร
เงินทุนส่วนที่สองมีเพื่อสนับสนุนกิจการระยะยาว นับเป็นการสนับสนุนโครงการตามยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย เช่น การร่วมลงทุนในธุรกิจ Advanced Therapy Medicinal Product (ATMP) เพื่อรองรับการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยีนบำบัดในประเทศไทย หรือการลงทุนพัฒนาอาหารแห่งอนาคต (Future Food) นอกจากนี้ยังสามารถพิจารณาการลงทุนในธุรกิจเพื่อการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน
“ขอบเขตของการทำงานของมหาวิทยาลัยจะอยู่ที่การสนับสนุนงานวิจัยไปจนถึงการขึ้นทะเบียน และผลักดันให้เกิดการผลิตในเชิงพาณิชย์ โดยที่มหาวิทยาลัยอาจจะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านการทำการตลาด เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีความมั่นใจในระดับหนึ่ง เราควรร่วมมือกับภาคเอกชนให้รับไม้ต่อ แล้วความสำเร็จของความร่วมมือนี้จะย้อนกลับมาในรูปแบบของทรัพย์สินทางปัญญาและเม็ดเงิน ดังนั้นเราจึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายและทรัพย์สินทางปัญญาเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อกำหนดข้อตกลงในการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย”
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของปัจจัยสำคัญของความสำเร็จและแผนการเตรียมรับมือกับความเสี่ยง ทางมหาวิทยาลัยมหิดลมีโครงสร้างการดำเนินการที่ผสานทีมงานจากภายในมหาวิทยาลัยและผู้เชี่ยวชาญภายนอก รวมทั้งยังมีเครือข่ายบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง พร้อมกับการดำเนินงานภายใต้มาตรฐานการตัดสินใจลงทุนที่รอบคอบ จากประสบการณ์และแนวทางการปฏิบัติระดับสากล ซึ่งแผนในครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายของมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ มหิดล เพิ่งประกาศทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่รับเมกะเทรนด์ เดินหน้าขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่การเป็น ศูนย์กลางองค์ความรู้และนวัตกรรมระดับโลกที่มุ่งสร้าง “Real World Impact” ในทุกมิติ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ “Real World Impact” ที่ช่วยแก้ปัญหา พัฒนาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่าเดิม พร้อมมุ่งเป้าสู่การเป็น "World-Class University" และเป็นผู้นำในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) และสุขภาวะแบบองค์รวม (Holistic Wellbeing) ในระดับโลก โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนแบบองค์รวมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
ดำเนินการโดยขับเคลื่อนผ่าน 3 กลไกหลัก ได้แก่
1.การผลักดันงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง สร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์
2.ทรานส์ฟอร์มการศึกษา สู่การเรียนรู้ไร้พรมแดน เน้นการศึกษาแบบ Outcome-Based Education สร้างบัณฑิตตอบโจทย์โลกยุคใหม่ให้เป็น World Citizenship ที่ไม่ใช่แค่มีความรู้ทางวิชาการ แต่ต้องพร้อมทำงานจริง
3.ลงมือทำเพื่อสังคม สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคต ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวว่า จะมุ่งส่งเสริมและผลักดันใน 3 ด้านหลัก สู่การพลิกโฉมวงการสาธารณสุขไทย ประกอบด้วย
1.ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) ระดับอาเซียน พร้อมกับการเร่งปรับปรุงโรงงานยาที่มีอยู่เดิมให้เป็น โรงงานยาที่มีชีวิต (MU-Bio Plant) สำหรับผลิตยากลุ่ม Advanced Therapy Medicinal Product (ATMP) เพื่อรองรับการการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยีนบำบัดในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งและโรคร้ายแรงอื่นๆ ได้ในราคาที่ถูกลง
2. เสริมศักยภาพการแพทย์และสาธารณสุขไทยด้วย AI & Health Care นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการแพทย์และระบบสาธารณสุข เช่น การวินิจฉัยโรค
3.สร้าง Startup Ecosystem และผลักดัน Startup Health Tech ไทย ก้าวไกลสู่ระดับ Unicorn ตั้งเป้าให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็น One Stop Service สำหรับส่งเสริมและพัฒนา Health Tech Startup และสร้าง Startup Ecosystem แบบครบวงจร โดยจัดตั้งโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ (Health Tech Incubator & Accelerator) โดยร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก เช่น Silicon Valley รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) เพื่อร่วมกันสนับสนุนและพัฒนาสตาร์ทอัพไทยในทุกมิติ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุน ไปจนถึงการขยายตลาดเพื่อร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยมี Unicorn Startup ในสาย Health Tech
“มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นต้นแบบที่สะท้อนถึงความสำเร็จครอบคลุมหลายมิติจากหลายๆ โครงการ ที่เริ่มจากงานวิจัยจนนำมาสู่การต่อยอดให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม ตอกย้ำเป้าหมายการเป็น Mahidol University For Real World Impact ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการวิจัยและสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะองค์รวมระดับโลกได้อย่างแท้จริง” ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวสรุป