มหิดลเปิดตัว “MU Holding” ลงทุนสตาร์ทอัพ จับมือ VC ดัน Health Tech ไทย สู่เวทีโลก

Investment

Fund

Content Partnership

Content Partnership

Tag

มหิดลเปิดตัว “MU Holding” ลงทุนสตาร์ทอัพ จับมือ VC ดัน Health Tech ไทย สู่เวทีโลก

Date Time: 4 มิ.ย. 2568 15:56 น.
Content Partnership

Summary

  • ก้าวสู่บทบาทใหม่! มหาวิทยาลัยมหิดลเปิดตัว “MU Holding” ลงทุนสตาร์ทอัพ จับมือ VC ยกระดับงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ พร้อมเดินหน้าทรานส์ฟอร์มองค์กรรับเมกะเทรนด์ สู่การเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และนวัตกรรมระดับโลก ภายใต้พันธกิจ “Real World Impact” ที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ ยกระดับบทบาทของ “มหาวิทยาลัย” ให้มากกว่าการจัดการเรียนการสอน

“อุตสาหกรรมการแพทย์” ของไทย นับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ ทั้งด้านยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง ส่งผลให้การแพทย์ของไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล

อย่างไรก็ตาม แม้ “ประเทศไทย” จะมีจุดแข็งด้านการแพทย์ที่แข็งแกร่ง แต่ในมิติของ Deep Tech Startup ในด้าน Health Tech กลับยังเผชิญข้อจำกัดไม่ว่าจะเป็น ความซับซ้อนในการลงทุน กฎระเบียบที่ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับธุรกิจด้านอื่น อย่างเช่น อีคอมเมิร์ซ Food Tech ฯลฯ

ขณะเดียวกัน Ecosystem ยังไม่ดีพอที่จะดึงคนให้มาทุ่มเท ทำให้นักลงทุนไม่ค่อยให้ความสนใจที่เข้ามาลงทุนในด้านนี้มากนัก แต่หากมีการผลักดัน Deep Tech Startup ด้าน Health Tech ให้เกิด Unicorn ขึ้น จะทำให้คนจำนวนมากที่เป็นนักวิจัยหันมาทุ่มเท และทำให้เกิดการผลักดันของระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ “มหาวิทยาลัยมหิดล” ลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลง ผ่านการจัดตั้ง “MU Holding” ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อทำหน้าที่จัดการและบริหารจัดการทรัพย์สิน ตลอดจนดำเนินธุรกิจในเชิงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับผลงานวิจัย นวัตกรรม และทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้จากงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง


เพิ่มมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา ผลักดันสู่เชิงพาณิชย์

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ที่ผ่านมาสตาร์ทอัพกลุ่ม Health Tech ที่พัฒนายาใหม่และเวชภัณฑ์ในไทยยังขาดการจัดการอย่างเป็นระบบ ทั้งข้อจำกัดด้านการเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพที่ดีมีศักยภาพในการเติบโต และปัญหาเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุน

ดังนั้น MU Holding จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้งานวิจัยที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาของนักวิจัยไทยได้รับการผลักดันออกไปสู่เชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็น ยารักษาโรค อาหารเสริม การรักษาแนวใหม่ หรือแม้กระทั่ง AI เพื่อทำให้เกิดเป็นผลิตผลทางเศรษฐกิจที่ทำให้ GDP ประเทศไทยกระเตื้องขึ้น พร้อมกับส่งออกไปยังระดับภูมิภาคได้ในที่สุด

สำหรับวัตถุประสงค์หลักของ “MU Holding” ยึดหลัก 3 แกนสำคัญ ได้แก่

1.การพัฒนา Ecosystem ด้านนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการขยายตัวและความสำเร็จเชิงพาณิชย์ของนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยมหิดลและประเทศไทย โดยเชื่อมโยงทรัพยากรความรู้ และพันธมิตรเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจและเทคโนโลยี

2.สร้างรายได้ผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ด้วยแนวทางใหม่ที่แตกต่างจากรูปแบบการลงทุนแบบเดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการเงินและต่อยอดทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย

3.ขยายโอกาสสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเชื่อมโยงกับ Startup และ Ecosystem ระดับสากล เพื่อสร้าง Global Exposure พร้อมยกระดับศักยภาพของมหาวิทยาลัยและพันธมิตรสู่เวทีโลก


“MU Holding มีพันธกิจคือการเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยดำเนินงานตามแนวทางของกองทุนร่วมลงทุน หรือที่เรียกว่า Venture Capital ที่มีมาตรฐานระดับสากล”


ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร
กล่าวต่อไปว่า การจัดสรรเงินทุนตั้งต้นมีรูปแบบการจัดสรรงบประมาณดังต่อไปนี้

1.เงินลงทุนในพอร์ตโฟลิโอ

เงินทุนส่วนแรกมีลักษณะการลงทุนเหมือน Venture Capital ระดับสากล มีกลยุทธ์การลงทุนโดยตรงใน Startup จากภายในและภายนอก Ecosystem ของมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงการลงทุนผ่านกองทุน VC Funds ระดับนานาชาติ นอกจากนี้จะเตรียมเงินลงทุนสนับสนุนการขยายตลาด เพื่อส่งเสริมบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตสูง (Quick Win) และเงินทุนสำรอง ที่จะลงทุนต่อเนื่องใน Startups ที่มีผลประกอบการและศักยภาพที่ดี

2.โครงการเชิงกลยุทธ์และเครือข่ายพันธมิตร

เงินทุนส่วนที่สองมีเพื่อสนับสนุนกิจการระยะยาว นับเป็นการสนับสนุนโครงการตามยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย เช่น การร่วมลงทุนในธุรกิจ Advanced Therapy Medicinal Product (ATMP) เพื่อรองรับการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยีนบำบัดในประเทศไทย หรือการลงทุนพัฒนาอาหารแห่งอนาคต (Future Food) นอกจากนี้ยังสามารถพิจารณาการลงทุนในธุรกิจเพื่อการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน

“ขอบเขตของการทำงานของมหาวิทยาลัยจะอยู่ที่การสนับสนุนงานวิจัยไปจนถึงการขึ้นทะเบียน และผลักดันให้เกิดการผลิตในเชิงพาณิชย์ โดยที่มหาวิทยาลัยอาจจะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านการทำการตลาด เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีความมั่นใจในระดับหนึ่ง เราควรร่วมมือกับภาคเอกชนให้รับไม้ต่อ แล้วความสำเร็จของความร่วมมือนี้จะย้อนกลับมาในรูปแบบของทรัพย์สินทางปัญญาและเม็ดเงิน ดังนั้นเราจึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายและทรัพย์สินทางปัญญาเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อกำหนดข้อตกลงในการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย”


ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร
กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของปัจจัยสำคัญของความสำเร็จและแผนการเตรียมรับมือกับความเสี่ยง ทางมหาวิทยาลัยมหิดลมีโครงสร้างการดำเนินการที่ผสานทีมงานจากภายในมหาวิทยาลัยและผู้เชี่ยวชาญภายนอก รวมทั้งยังมีเครือข่ายบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง พร้อมกับการดำเนินงานภายใต้มาตรฐานการตัดสินใจลงทุนที่รอบคอบ จากประสบการณ์และแนวทางการปฏิบัติระดับสากล ซึ่งแผนในครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายของมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม


ทั้งนี้ มหิดล เพิ่งประกาศทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่รับเมกะเทรนด์ เดินหน้าขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่การเป็น ศูนย์กลางองค์ความรู้และนวัตกรรมระดับโลกที่มุ่งสร้าง “Real World Impact” ในทุกมิติ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ “Real World Impact” ที่ช่วยแก้ปัญหา พัฒนาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่าเดิม พร้อมมุ่งเป้าสู่การเป็น "World-Class University" และเป็นผู้นำในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) และสุขภาวะแบบองค์รวม (Holistic Wellbeing) ในระดับโลก โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนแบบองค์รวมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

ดำเนินการโดยขับเคลื่อนผ่าน 3 กลไกหลัก ได้แก่

1.การผลักดันงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง สร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์

2.ทรานส์ฟอร์มการศึกษา สู่การเรียนรู้ไร้พรมแดน เน้นการศึกษาแบบ Outcome-Based Education สร้างบัณฑิตตอบโจทย์โลกยุคใหม่ให้เป็น World Citizenship ที่ไม่ใช่แค่มีความรู้ทางวิชาการ แต่ต้องพร้อมทำงานจริง

3.ลงมือทำเพื่อสังคม สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคต ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวว่า จะมุ่งส่งเสริมและผลักดันใน 3 ด้านหลัก สู่การพลิกโฉมวงการสาธารณสุขไทย ประกอบด้วย

1.ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) ระดับอาเซียน พร้อมกับการเร่งปรับปรุงโรงงานยาที่มีอยู่เดิมให้เป็น โรงงานยาที่มีชีวิต (MU-Bio Plant) สำหรับผลิตยากลุ่ม Advanced Therapy Medicinal Product (ATMP) เพื่อรองรับการการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยีนบำบัดในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งและโรคร้ายแรงอื่นๆ ได้ในราคาที่ถูกลง

2. เสริมศักยภาพการแพทย์และสาธารณสุขไทยด้วย AI & Health Care นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการแพทย์และระบบสาธารณสุข เช่น การวินิจฉัยโรค

3.สร้าง Startup Ecosystem และผลักดัน Startup Health Tech ไทย ก้าวไกลสู่ระดับ Unicorn ตั้งเป้าให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็น One Stop Service สำหรับส่งเสริมและพัฒนา Health Tech Startup และสร้าง Startup Ecosystem แบบครบวงจร โดยจัดตั้งโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ (Health Tech Incubator & Accelerator) โดยร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก เช่น Silicon Valley รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) เพื่อร่วมกันสนับสนุนและพัฒนาสตาร์ทอัพไทยในทุกมิติ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุน ไปจนถึงการขยายตลาดเพื่อร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยมี Unicorn Startup ในสาย Health Tech

“มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นต้นแบบที่สะท้อนถึงความสำเร็จครอบคลุมหลายมิติจากหลายๆ โครงการ ที่เริ่มจากงานวิจัยจนนำมาสู่การต่อยอดให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม ตอกย้ำเป้าหมายการเป็น Mahidol University For Real World Impact ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการวิจัยและสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะองค์รวมระดับโลกได้อย่างแท้จริง” ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวสรุป


Author

Content Partnership

Content Partnership