สรุป 4 ตัวเลือก ให้คนไทยไปช็อปปิ้งในต่างประเทศอย่างคุ้มและสะดวกที่สุด ไม่ว่าจะเงินสด, Travel Card, บัตรเครดิต และ QR Payment เพราะแต่ละวิธีอาจมีอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมต่างกัน
“จะไปเที่ยวต่างประเทศ แลกเงินหรือใช้จ่ายด้วยวิธีไหนดีนะ?”
หลายคนคงมีคำถามนี้ในใจเมื่อต้องเตรียมตัวก่อนบิน ทั้งคนที่จะเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกหรือไปมาหลายครั้งอาจเจอปัญหาจากระบบการจ่ายเงินที่มีหลากหลาย หรือต้องมานั่งคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนว่าที่ช็อปไปเท่ากับกี่บาท และที่ยากที่สุดคือจะควบคุมการช็อปไม่ให้เกินงบอย่างไร
วันนี้ Thairath Money จะพาทุกคนไปรู้จัก 4 ตัวเลือกเมื่อต้องช็อปหรือใช้จ่ายในต่างประเทศ ซึ่งแต่ละตัวเลือกมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้ทุกคนเลือกการชำระเงินแบบที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และทริปของตัวเองได้ ดังนี้
เมื่อเดินทางไปต่างประเทศ การพกเงินสดในสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน
ข้อดี:
ข้อเสีย:
เทคนิคสำคัญของการแลกเงินคือ เราสามารถเช็กบนเว็บไซต์ของร้านแลกเงิน รวมถึงธนาคารต่างๆ ว่าของค่ายไหนให้เรทที่ดีที่สุด หลายที่ยังสามารถโทรจองเงินไว้ก่อนได้เพราะบางสาขาอาจมีสกุลเงินต่างประเทศที่เราต้องการไม่เพียงพอ
เรื่องระบบการชำระเงินไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะระบบพร้อมเพย์ที่ใช้กันอย่างล้นหลาม ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขยายและต่อยอดให้คนไทยใช้ระบบ QR Payment ได้ในหลายประเทศโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารของประเทศไทย เช่น ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น
ข้อมูลล่าสุดจากธปท. ณ มิถุนายน 2568 พบว่าคนไทยสามารถใช้บริการชำระเงินด้วย QR code ได้กับ 8 ประเทศ ซึ่งเป็นที่รู้จักและประเทศที่นักท่องเที่ยวไทยหลายคนชื่นชอบ ได้แก่
รูปแบบคือ คนไทยใช้ QR Payment ในร้านค้าที่ต่างประเทศได้เลย เช่น เปิดแอปฯ ธนาคารเลือกสแกน QR code ที่ร้านค้าในญี่ปุ่น หรือเปิด QR code ในแอปฯ ให้ร้านค้าสแกนเพื่อจ่ายเงิน (บางประเทศ) เป็นต้น ทว่าแต่ละธนาคารอาจเงื่อนไขต่างกัน เช่น วิธีการสแกน, จำกัดวงเงิน/วัน (ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ) ฯลฯ
ข้อดี:
ข้อเสีย:
หลายปีมานี้บัตร Travel Card ถือว่ามาแรงมาก เพราะเป็นบัตรที่ทำให้เราใช้จ่ายในต่างประเทศหรือซื้อของในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม (ส่วนใหญ่ราว 2.5% ของยอดการใช้จ่าย) รวมถึงมักจะแลกเงินสกุลต่างประเทศเก็บไว้ก่อนก็ได้ อาจมาในรูปแบบของบัตรเดบิต หรือบัตรเติมเงิน (Prepaid Card) ซึ่งจะแตกต่างจากบัตรเครดิตที่เป็นสินเชื่อประเภทหนึ่ง
ปัจจุบัน Travel Card มีหลายเจ้าให้เลือก แต่จะอาจมีจำนวนสกุลเงินที่แลกเก็บไว้ได้ไม่เท่ากัน เช่น Planet SCB จากธนาคารไทยพาณิชย์ (13 สกุลเงิน), Krungthai Travel Card จากธนาคารกรุงไทย (20 สกุลเงิน), บัตรเดบิต JOURNEY Travel Card ของธนาคารกสิกรไทย (แลกเงินเก็บไว้ไม่ได้), YouTrip ซึ่งร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย (10 สกุล), Krungsri Boarding Card จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา (17 สกุลเงิน)
ข้อดี:
ข้อเสีย:
และสุดท้าย บัตรเครดิตเป็นอีกตัวเลือกที่ดีในการใช้จ่ายในต่างประเทศ เพราะเป็นระบบที่วางรากฐานมานานทำให้เครือข่ายที่รับชำระเงินก็มากขึ้นไปด้วย
ข้อดี:
ข้อเสีย:
โดยสรุปแล้ว การใช้จ่ายในต่างประเทศทั้ง 4 ตัวเลือกเป็นตัวช่วยที่ทำให้ทริปของเราง่ายขึ้น แต่วิธีไหนจะดีที่สุด อาจขึ้นอยู่กับความต้องการและการใช้งานของแต่ละคน
ดังนั้น ก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศ อย่าลืมศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมการเงินที่เหมาะกับตัวเองและสถานที่นั้นๆ เพื่อให้กลายทริปที่สนุกสนานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องเงิน
นอกจากระบบ QR payment ให้ใช้จ่ายกับร้านค้าในต่างประเทศ ทุกวันนี้ยังมีระบบโอนเงินข้ามพรมแดนที่ค่าใช้จ่ายถูกลง เช่น การเชื่อมระหว่างระบบ PromptPay และ PayNow (ของสิงคโปร์ ) ทำให้เราใช้แค่เบอร์มือถือของผู้รับโอน ก็โอนเงินไปได้เลยภายใน 1-2 นาที (จากเดิม 1-2 วัน)แต่จำกัดในวงเงินไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 25,000 บาท ต่อวัน ผ่านธนาคารที่ร่วมให้บริการ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์ ตอนนี้ธปท.กำลังขยายความร่วมมือกับจีนผ่าน Project Nexus
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney