การสร้างความมั่นคงทางการเงินผ่าน Passive Income เปรียบเสมือนการสร้าง "เครื่องจักรผลิตเงิน" ที่ทำงานแทนเรา ต่างจาก Active Income ที่ต้องใช้ "น้ำพักน้ำแรง" หัวใจสำคัญคือหลักการบริหารความเสี่ยง ซึ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุนมือใหม่ เพื่อป้องกันการ "หลงทาง" และการตัดสินใจที่ผิดพลาด
ในยุคที่ค่าครองชีพวิ่งแซงเงินเดือน และการทำงานหนักเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบของความมั่นคงอีกต่อไป
หลายคนคงเคยฝันว่า "จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถสร้างเครื่องผลิตเงินส่วนตัวขึ้นมาได้" เครื่องจักรที่ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยหลับ และช่วยผลิตกระแสเงินสดให้เราอย่างสม่ำเสมอ
แนวคิดเรื่อง Passive Income หรือ การให้เงินทำงานแทนเราจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นเป้าหมายสำคัญของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการออกแบบชีวิตด้วยตัวเอง
Thairath Money พาส่อง 6 สูตรลับ จากนักวางแผนการเงินมืออาชีพ หลักการบริหารความเสี่ยง รู้ก่อนลงทุน ให้ทุกคนสามารถสร้าง “เครื่องผลิตเงิน” ของตัวเองได้อย่างยั่งยืน
หากเปรียบเทียบเส้นทางการเงินของเรา Active Income ก็เหมือนการใช้ "สองมือและแรงกาย" ของเราทำงานโดยตรง มันคือรายได้จากน้ำพักน้ำแรงและจับต้องได้
เราใช้เวลาและพลังงานของเราเข้าแลกเพื่อให้ได้เงินมา ยิ่งขยันก็ยิ่งได้เยอะ แต่เมื่อไหร่ที่เราเหนื่อยหรือหยุดพัก จะทำให้รายได้ของเรามีขีดจำกัดเท่ากับเรี่ยวแรงและเวลาที่เรามี
แต่ Passive Income คือการเปลี่ยนเกมโดยสิ้นเชิง มันคือการลงแรงในช่วงแรกเพื่อสร้าง "เครื่องจักรผลิตเงิน" ของเราเอง
ในตอนเริ่มต้น เราอาจจะต้องเหนื่อยกับการออกแบบ ค้นหาชิ้นส่วนที่ดีที่สุด และใช้เงินทุนและเวลาในการประกอบมันขึ้นมา ซึ่งชิ้นส่วนของเครื่องจักรเหล่านี้ก็คือสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งหุ้นปันผล กองทุนรวม ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ ที่สามารถให้ผลตอบแทนกับเราได้สม่ำเสมอ
เมื่อเครื่องจักรนี้สร้างเสร็จและเริ่มเดินเครื่อง มันจะผลิตกระแสเงินสด ออกมาเป็นผลตอบแทนให้เราโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเราจะตื่นหรือหลับ
และยิ่งไปกว่านั้น เงินที่เครื่องจักรผลิตออกมา ยังสามารถนำกลับไปเป็นทุนเพื่อ "อัปเกรด" ชิ้นส่วนให้ดีขึ้น หรือสร้างเครื่องจักรเพิ่ม ขยายโรงงานของเราต่อไปได้อีกไม่รู้จบ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่การสร้างอิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง
แม้จะฟังดูดี และหลายคนทำตามได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ชี้ให้เห็นถึงกับดักสำคัญที่นักลงทุนหน้าใหม่มักตกลงไป โดยบทความ “ให้เงินทำงาน สร้าง Passive Income” ระบุว่า คนส่วนใหญ่มักจะมองเห็นแต่โอกาสและกำไรซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้
แต่มักจะมองข้ามความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญ ซึ่งเราสามารถบริหารจัดการได้ด้วยการบริหารเงิน (Money Management) ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา ดังนี้
1. เพราะการลงทุนไม่ได้มีเพียงหุ้นปันผล
ดังนั้น เราควรจัดลำดับความน่าสนใจของการลงทุนแต่ละอย่าง (ถ้ามีการลงทุนหลายอย่างให้เลือก) การลงทุนอย่างไหนมีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่าตัวอื่น ๆ
2. ความคุ้มค่าในการลงทุนแต่ละครั้ง
เปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนที่จะได้รับ กรณีถ้าผลการลงทุนเป็นไปตามที่คาดแล้วออกมาเป็นกำไร กับผลขาดทุนที่จะต้องเสียไปถ้าผลการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดแล้วออกมาเป็นขาดทุน ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่
3. ความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน
ซึ่งจะวิเคราะห์ว่าการลงทุนในแต่ละครั้ง จะเสี่ยงขาดทุนด้วยเงินจำนวนเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบร้ายแรงกับเงินลงทุน และควรจัดสรรเงินที่จะใช้ในการลงทุนแต่ละครั้งไม่เกินเท่าไหร่เพื่อให้มีเงินลงทุนพร้อมรับโอกาสอื่น ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต
4. แผนรับมือกรณีที่จะเกิดขึ้นหลังจากลงทุนไปแล้วในครั้งนั้น ๆ
อย่างเช่น ถ้าเกิดผลกำไร จะมีแผนในการทำกำไรอย่างไร เช่น จะถอนกำไรมาใช้ หรือ กระจายการลงทุนไปลงทุนอย่างอื่น หรือเพิ่มเงินลงทุนในการลงทุนดิม ฯลฯ และถ้าเกิดผลขาดทุนจะมีแผนรับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างไร เช่น จะหยุดการขาดทุนเมื่อขาดทุนเท่าไหร่ หรือทนถือไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังได้เงินปันผล ฯลฯ
5. วางแผนการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนแบบต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทางในการบริหารความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนครั้งถัดไป โดยการกำหนดว่าถ้าผลการลงทุนครั้งนี้ออกมาเป็นกำไร ในการลงทุนครั้งถัดไปจะทำอย่างไร หรือถ้าผลการลงทุนครั้งนี้ออกมาเป็นขาดทุน ในการลงทุนครั้งถัดไปจะทำอย่างไร เป็นต้น
6. ทบทวนแผนการบริหารเงินลงทุน
เมื่อผ่านการลงทุนไปสักระยะหนึ่งควรนำผลการลงทุนที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงหรือแนวทางในการบริหารเงินลงทุนในอนาคตให้ดีขึ้น
อ่านข่าวกับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้