ตลาดแรงงานไม่เป็นใจ สภาพัฒน์ยกผลสำรวจว่าเอกชนกว่า 25% จ่อลดพนักงานเพื่อลดต้นทุน Gen Z เสี่ยงซ้ำซ้อนเพราะคนกังวลใจที่จะจ้างเด็กจบใหม่ ถึงเวลาหาช่องทางใหม่เพิ่มรายได้
“การงาน” และ “การเงิน” นี่คือ 2 สิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในชีวิตเรา แต่ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่าทั้งสองสิ่งนี้มีความมั่นคงมากแค่ไหน?
ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน เราต่างเห็นข่าวการปิดบริษัท ไปจนถึงเลิกจ้างจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสะท้อนให้เห็นภาพความเสี่ยงตลาดแรงงาน โดยเฉพาะกับพนักงานประจำที่พึ่งพารายได้จากอาชีพนี้เป็นหลัก
เริ่มกันที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ มองว่า ปี 68 ที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูงอาจส่งผลให้หลายบริษัทมีการเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานมากขึ้นอีก ซึ่งสะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า แม้แต่คนที่มีงานประจำ ก็ยังเสี่ยงที่จะถูกปลดออกได้ทุกเวลา
จากความกดดันรอบด้านทำให้บริษัทต่างต้องปรับตัว ต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีผลสำรวจของ Jobsdb ระบุว่า 25% ขององค์กรในไทย มีแนวโน้มจะลดพนักงานลง สาเหตุเพื่อปรับโครงสร้างองค์กรและลดต้นทุนให้น้อยลง จึงเห็นการปรับตัวโดยลดการจ้างพนักงานประจำเต็มเวลา (Full-time) และหันไปจ้างพนักงานประจำไม่เต็มเวลา และพนักงานสัญญาจ้าง เพิ่มขึ้น
เทรนด์นี้เกิดขึ้นในองค์กรทุกขนาดโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่การจ้างงานปี 2567 เทียบกับปี 2565 พบว่า สัดส่วนพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา เพิ่มขึ้นเป็น 28% (จาก 4%) และสัดส่วนพนักงานประจำไม่เต็มเวลาเพิ่มขึ้น เป็น 42% (จาก 6%)
คนวัยทำงานทุกเจนยังเสี่ยงจะตกงาน แต่ Gen Z ที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นส่วนสำคัญของตลาดแรงงานไทย นอกจากจะต้องเจอกับงานประจำที่หาได้ยากขึ้น ยังต้องฝ่าฟันกับแนวคิดขององค์กรที่มองว่า Gen Z อาจไม่คุ้มค่าต่อการจ้างงาน
ปัญหาแรก Gen Z เสี่ยงว่างงานเพิ่มขึ้น จากข้อมูลสถิติพบว่า ปี 2567 สัดส่วน Gen Z ที่ว่างงานมากกว่า 1 ปี อยู่ที่ 13.6% เพิ่มขึ้นสูงมากจากปี 2557 ที่อยู่เพียง 1.2% และอีกข้อมูลที่น่าติดตามคือจากสัดส่วนผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน พบว่ากลุ่ม Gen Z มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดที่ 48.5% แม้ว่าส่วนหนึ่งเพราะเจนนี้ยังค้นหาตัวเองและมี Gap Year ในการหาประสบการณ์ใหม่ แต่กลายเป็นว่า เพราะเริ่มทำงานช้า และมีประสบการณ์ทำงานที่น้อยกว่า อาจทำให้หางานประจำยากขึ้น
ปัญหาสอง บริษัทกังวลใจในการรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการบางกลุ่มมองว่า ทัศนคติและพฤติกรรมการทำงานบางอย่างอาจกระทบต่อการทำงาน เช่น การลาออกหรือเปลี่ยนงานบ่อย ส่งผลให้ต้นทุนของทีมบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลสูงขึ้น และหลายองค์กรมองว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยง
แม้ว่า Gen Z อาจเจอผลกระทบจากตลาดแรงงานที่ชะลอลง และบริษัทอาจลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่ แต่ก็เป็นความท้าทายที่พวกเขาต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เพราะหากมีงานทำ ก็เป็นโอกาสที่จะเรียนรู้และสร้างประสบการณ์ใหม่ หรือกลายเป็นอีกช่องทางการสร้างรายได้ให้กับตัวเอง
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงเห็นแล้วว่าถึงมีงานประจำก็ยังเสี่ยง และจะดีกว่าไหมหากเรามีแผนการเงินที่จะทำให้ชีวิตสบายแม้ไม่มีงาน?
Thairath Money จะพาผู้อ่านทุกคนไปรู้จัก 2 วิธีสร้างรายได้และสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพื่อให้ยืนไหวแม้ในวันที่ตกงาน ดังนี้
1. ทำอาชีพเสริม ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย เราจึงสามารถที่จะใช้สกิลต่าง ๆ ที่เรามีมาพลิกแพลงเพื่อสร้างงาน - เงินให้ตัวเองได้ เช่น
2. สร้าง Passive Income ให้เงินทำงานแทนเรา
การมี Passive Income เป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับเราในระยะยาว ช่วยให้เราสามารถมีเงินพอในวันที่อยากเกษียณ และช่วยรองรับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน โดยมีวิธีหลายอย่าง อาทิ
ทั้งหมดนี้คือวิธีที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้ เพราะเราไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราหรือการงานของเรา ดังนั้นสิ่งที่สำคัญจึงเป็นการที่เรามีเงินรองรับในวันที่สะดุดล้ม เพื่อที่อย่างน้อยเราจะกลับมาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney