แม้ทองคำจะนิยามอยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัยหรือ Safe Haven แต่เมื่อราคายังผันผวนทำให้ความเสี่ยงสูงตามไปด้วย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมักแนะนำให้มีในพอร์ตสัดส่วนไม่เกิน 5-15%
ช่วงนี้ราคาทองคําพุ่งทำ All Time High แรงจนเกือบฉุดไม่อยู่ ซึ่งราคาในไทยก็ทะลุ 55,000 บาทต่อบาททองคำไปแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนทั่วโลกรวมถึงฝั่งสหรัฐฯ ที่ดูชะลอตัวกว่าที่คาด ไปจนถึงตลาดทยอยรับรู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ที่ล่าสุดเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย. 68) ประกาศหั่นดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปีแล้ว
แน่นอนว่าหนึ่งในเหตุผลที่ “ทองคำ” ยังน่าสนใจคือเป็น Safe Haven หรือสินทรัพย์ปลอดภัย เรียกว่าถ้าโลกเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เศรษฐกิจตกต่ำ หรือเกิดสถานการณ์ความรุนแรงต่างๆ คนมักหันไปซื้อทองคำและทำให้ราคาพุ่งขึ้นเสมอ
แล้วทำไมทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้เก็บไว้ในสัดส่วนไม่มากล่ะ?
Thairath Money ชวนตั้งคำถามว่าราคาทองคำที่เราเห็นขึ้นๆ ลงๆ ในแต่ละวันผันผวนแค่ไหน เลยรวบรวมสถิติจากเว็บไซต์ทองคำราคาในช่วง 15 ปี (ปี 2553 - ส.ค. 2568) พบว่า
สรุปแล้ว ถึงในช่วงสั้นๆ ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่บ่อยครั้ง แต่จากสถิติย้อนหลัง 15 ปี ก็มีทั้งปีที่ราคาเป็นบวก และลบ ซึ่งนี่คืออีกความเสี่ยงที่เราต้องให้ความสำคัญ
แม้นักลงทุนจะหันไปถือทองคำกันมากขึ้น เพราะนี่เป็นเหมือนกับหลุมหลบภัยที่ให้ความมั่นคงได้ในวันที่สถานการณ์โลกผันผวน แต่อย่าลืมว่าทุกสินทรัพย์การลงทุนนั้นมีความเสี่ยงที่จะตามมา จนเกิดเป็นคำถามที่ว่าถ้าทองคำเป็น ‘ความปลอดภัย’ จริง ทำไมเราถึงไม่ควรทุ่มหมดหน้าตักไปให้ทองคำล่ะ?
“รุ่งนภา โอภาสปัญญาสาร” อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเล่าถึงทองคำมีความเสี่ยงเฉพาะตัวซึ่งราคามีการปรับขึ้นและลงอยู่เสมอ จึงแนะนำว่า ควรกระจายความเสี่ยงไม่กระจุกการลงทุนในทองคำเพียงอย่างเดียว โดยอาจลงทุนราว 5 - 10% ของพอร์ต
นอกจากเหตุผลว่าราคาเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ยังมีอีก 3 เรื่องที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองนั้น ได้แก่
คืออัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนได้รับหลังจากหักอัตราเงินเฟ้อออกไปแล้ว เช่น เราได้รับผลตอบแทน 5% ต่อปี แต่อัตราเงินเฟ้อของปีนั้นอยู่ที่ 3% ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของเราคือ 2% ต่อปี หากนักลงทุนเห็นว่าการลงทุนของพวกเขานั้นได้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงน้อย ก็อาจหันไปพึ่งพิงอย่างอื่นแทน เช่น ทองคำ จึงทำให้ราคาทองคำสูงขึ้นตามความต้องการ
ในยามที่โลกปั่นป่วนจากทั้งวิกฤติเศรษฐกิจหรือสงคราม นักลงทุนจะมองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งทองคำที่เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยนั้นอยู่ในอันดับต้น ๆ ที่เหล่านักลงทุนนึกถึง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาทองพุ่งทะยาน หรือลดลงเมื่อสถานการณ์สงบลง
ตามทฤษฎีแล้วเราอาจดูแนวโน้มของราคาทองคำได้จากดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ เพราะว่าทั้งสองสินทรัพย์มักจะเคลื่อนไหวแบบสวนทางกัน เช่น ถ้าดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า ราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง แต่ในทางกลับกัน หากดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ราคาทองคำก็จะปรับตัวสูงขึ้น
ทั้ง 3 ปัจจัยที่ได้กล่าวไปนั้นล้วนแต่มีส่วนที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ทำให้แม้ทองคำจะถูกเรียกว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความผันผวนหรือความเสี่ยงใด ๆ เลย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรกระจายความเสี่ยงในการลงทุน มีหลากหลายสินทรัพย์เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์
ถ้าถามถึงสัดส่วนที่เหมาะสมกับการลงทุนทองนั้นคือเท่าไหร่? ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่า เราควรมีทองคำในพอร์ตราว 5 - 15% เช่น ฝั่ง Set Investnow แนะนำราว 5 - 10% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา แนะนำสัดส่วนราว 5-15% ของพอร์ตฯ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แต่สัดส่วนที่ว่าเหมาะสม ยังขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้ และก่อนจะลงทุนไม่ว่าเป็นสินทรัพย์ใด เราควรที่จะติดตามข่าวสารและศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนลงทุนเสมอ
ที่มา: ทองคำราคา.com, ธนาคารไทยพาณิชย์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, Set Investnow, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารอาคารสงเคราะห์
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney