บ้านปู เผยการดำเนินงานที่โดดเด่นและแนวทางในอนาคตของ 4 ธุรกิจเรือธง “ธุรกิจเหมือง ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และหน่วยงาน Corporate Venture Capital” ภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter ที่กำลังขับเคลื่อนบ้านปูในกระบวนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ เพื่อสร้างสรรค์พลังงานที่ยั่งยืนและโซลูชันพลังงานสะอาด ที่จะสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้คน พร้อมทุ่มงบเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 72,000 ล้านบาท หนุนขยายทุกกลุ่มธุรกิจในพอร์ต
จากการที่ "บ้านปู" เข้าสู่ "การเปลี่ยนผ่านธุรกิจ" ทั้งด้านธุรกิจ เทคโนโลยี และบุคลากร มาเป็นระยะเวลา 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่การเริ่มเข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเป็นแห่งแรก ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนการลงทุนและกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจที่ชาญฉลาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีระบบนิเวศทางธุรกิจของบ้านปูที่แข็งแกร่ง สามารถผสานพลังร่วมเพื่อถ่ายทอด ต่อยอด แบ่งปันองค์ความรู้ความชำนาญ เทคโนโลยี และทรัพยากรระหว่างกัน
สมฤดี ชัยมงคล Chief Executive Officer บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “นับจากนี้ สู่เป้าหมายในปี 2568 เราจะเห็นการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงาน ในขณะเดียวกัน บ้านปูยังคงนำเสนอโซลูชันด้านพลังงานสะอาดใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจ ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนได้มากขึ้น”
“ความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาล้วนเกิดขึ้นจากแรงขับเคลื่อนของผู้บริหารและ พนักงานบ้านปู ในทั้ง 9 ประเทศ (ไทย อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย ลาว มองโกเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม) ที่ทำงานสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวภายใต้วัฒนธรรมองค์กร บ้านปู ฮาร์ท (Banpu Heart) นอกจากนี้ ยังมี หลัก ESG ที่เปรียบเสมือนเสาหลักในการดำเนินธุรกิจที่ทำให้บ้านปูสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน จากนี้ไป เราพร้อมที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นผู้ส่งมอบพลังงานที่ยั่งยืนและสามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านพลังงานของโลกในอนาคต”
ขณะเดียวกันภายในปี 2568 บ้านปูจะเพิ่มสัดส่วน EBITDA ที่มาจากธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นทั้งหมดให้มีมากกว่า 50% ส่วนงบลงทุนได้มีการตั้งไว้ที่ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นงบปี 66-68 โดยจะจัดสรรลงทุนในธุรกิจ Renewable energy มากที่สุด รวมทั้ง Energy Technology รวมไปถึง CCUS และ CVC ที่วางบัดเจตไว้ปีละ 100 ล้านเหรียญด้วยเช่นกัน เพื่อสร้าง Value ให้ได้มากขึ้น
และยังมีการศึกษาที่จะทำยังไงให้ธุรกิจโรงไฟฟ้าสามารถนำเทคโนโลยีแอมโมเนีย และไฮโดรเจนเข้ามาใช้เป็นพลังงานสะอาดและผลิตไฟฟ้าในอนาคตได้ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในการสร้างธุรกิจพลังงานให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืน “ซื้อหาได้ ในราคาที่เหมาะสม” และจ่ายได้อย่างแน่นอน มั่นคง และที่สำคัญคือเป็นพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ส่วนเหมืองแร่จะหาเพิ่มหรือไม่นั้น ทางบ้านปูมองว่า ขณะนี้มีโปรเจกต์เป็นเหมืองใหม่อยู่ประมาณ 3 เหมือง และตอนนี้กำลังดูในพื้นที่ประเทศลาว อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย แต่ในส่วนของลาวได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับเจ้าของแหล่ง ซึ่งมองว่ามีโอกาสมาก รวมไปถึงอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ก็ได้มีการพูดคุยแต่จะต้องดูว่าส่วนไหนจะคุ้มทุน และดึง Cash flow กลับมาได้ไว ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา
"อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าภาพรวมธุรกิจถ่านหินในไตรมาส 3/66 ทำได้ไม่ดีมากนักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาถ่านหินที่ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 168 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ไตรมาส 3/65 ราคาถ่านหินอยู่ที่ 400 เหรียญสหรัฐ แต่ทั้งนี้มองว่าราคาถ่านหินก็ยังอยู่ในระดับที่ดีแม้ว่าจะปรับตัวลดลงก็ตาม แต่ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่าแนวโน้มราคาถ่านหินในไตรมาส 4/66 จะปรับตัวขึ้นดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจาก 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 1-3 เหรียญ ซึ่งบริษัทฯ จะต้องดูเรื่องปริมาณการผลิตด้วยว่าจะผลิตได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ซึ่งหากผลิตได้ตามแผนก็จะมีกำไร อย่างไรก็ตามโดยปกติไตรมาส 4 ผลประกอบการจะดีเนื่องจากเป็นไตรมาสที่ราคาสูงที่สุดและเป็นช่วงไฮซีซั่น" สมฤดี กล่าวทิ้งท้าย