เมื่อโลกเปลี่ยน....ปตท.ต้องปรับ

Sustainability

ESG Strategy

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เมื่อโลกเปลี่ยน....ปตท.ต้องปรับ

Date Time: 22 ก.พ. 2568 05:00 น.

Summary

เมื่อเร็วๆนี้มีโอกาสได้ไปฟัง นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมเวทีเสวนาพิเศษในหัวข้อ “รวมพลังสู่การดำเนินธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน” ในงาน FTI Expo 2025 ที่จัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

Latest

ไทยเบฟหนุนระบบเตือนภัยน้ำเหนือ 11 จังหวัด

เมื่อเร็วๆนี้มีโอกาสได้ไปฟัง นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมเวทีเสวนาพิเศษในหัวข้อ “รวมพลังสู่การดำเนินธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน” ในงาน FTI Expo 2025 ที่จัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

ซีอีโอ “คงกระพัน” อรรถาธิบายว่า แนวทางการบริหารจัดการธุรกิจให้ยั่งยืนตามหลัก ESG (สิ่งแวดล้อมสังคมและธรรมาภิบาล) ซึ่ง ปตท.มองว่า ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากการหาความสมดุลทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แม้ว่า ปตท.จะเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ แต่ก็เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนของการลงทุนด้วย

ดังนั้น การดำเนินธุรกิจของ ปตท.จะยังอยู่บนธุรกิจหลักคือ Oil & Gas ที่ต้องขับเคลื่อน ให้เกิดการเติบโตอย่างมั่นคง และต้องควบคู่ไปกับการดูแลภาวะโลกร้อน ฉะนั้น การลงทุนทางธุรกิจของ ปตท.จะต้องลงทุนไปพร้อมกับการลงทุนเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ด้วยเช่นกัน

“ปตท.มีภารกิจสำคัญในการดูแลความมั่นคงทางพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการใช้และไม่ขาดแคลน ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ภายใต้บริบทโลกที่เผชิญกับความผันผวนมากขึ้น รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ ปตท.ต้องดูแลในเรื่องนี้ และปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน”

ที่สำคัญกลุ่มประเทศอาเซียนยังต้องใช้เวลาดำเนินการ 20-30 ปี กว่าจะเปลี่ยนผ่านได้ โดยระหว่างนี้ยังจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงไฮโดรคาร์บอน ซึ่งก็คือ ก๊าซธรรมชาติ ที่ถือว่าเป็นพลังงานฟอสซิลที่สะอาดที่สุด และในประเทศไทย มีการผลิตก๊าซธรรมชาติได้เกือบ 60% ของความต้องการใช้ ที่เหลือก็เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ

บริษัทพลังงานทั่วโลกเห็นตรงกันว่า ก๊าซธรรมชาติจะเป็นเชื้อเพลิงหลัก เข้ามารองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน แต่จะใช้ทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ขัดกับบริบทลดโลกร้อน ปตท.จึงต้องดำเนินการเรื่องลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ควบคู่กันไป โดยวิธีแรกเริ่มจากการปรับปรุงประสิทธิภาพ กระบวนการผลิต ปรับปรุงเครื่องจักร นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

วิธีที่สอง ปรับพอร์ตธุรกิจ เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนโดยเชื่อว่า อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในประเทศไทย เช่น โรงกลั่น ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้า และโรงปูนซีเมนต์

“เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) โดยไม่มีการดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) ฉะนั้น การดักจับคาร์บอนจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และประเทศไทยก็มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะดำเนินการได้ อย่างหลุมเก็บปิโตรเลียมใต้ทะเล ก็สามารถใช้เป็นพื้นที่การดักจับคาร์บอนได้”

ทำให้ก้าวย่างของ ปตท.ก็จะลงทุนในเรื่องนี้ เพราะ ปตท.ก็ปล่อยคาร์บอนพอสมควร จึงต้องช่วยตัวเอง และต้องทำเผื่อให้กับอุตสาหกรรมในประเทศไทย ให้ได้ใช้ประโยชน์เก็บกักคาร์บอนด้วย โดยมี ส.อ.ท.เข้ามาร่วมผลักดันในเรื่องนี้ อีกวิธีการที่จะช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอน คือ การลงทุนในเทคโนโลยีไฮโดรเจน โดยทุกๆโมเลกุลไฮโดรเจนที่นำมาใช้ ก็จะลดคาร์บอนลงได้ด้วย การลงทุนดังกล่าวช่วยตอบโจทย์ ปตท. และภาคอุตสาหกรรมในประเทศที่ต้องลดคาร์บอน

“ปตท.จะเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอน และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน เพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม ทั้ง 2 เรื่องนี้เปรียบเสมือน ภารกิจหลักของ ปตท.ในระยะยาว”.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ