ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ก้าวสู่ความสำเร็จกับวาระครบรอบปีที่ 80 ด้วยวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน ล่าสุดได้ร่วมกับ MUFG จัดงานสัมมนา Krungsri-MUFG Business Forum 2025
ภายใต้แนวคิด “Thriving to Sustainable Future” เวทีที่รวบรวมผู้นำจากหลากหลายอุตสาหกรรมมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและกลยุทธ์การเติบโตท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก พร้อมตอกย้ำพันธกิจระยะยาวร่วมกันของทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
คาเนทสุกุ มิเกะ ประธานกรรมการ MUFG กล่าวว่า ปี 2568 เป็นโอกาสครบรอบ 80 ปีที่กรุงศรีได้ให้บริการลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของกรุงศรีต่อการเสริมสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางของ MUFG
โดยกลยุทธ์การเติบโตมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทำให้รากฐานของธุรกิจในภูมิภาคมีความยืดหยุ่นมากขึ้นยังคงเป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของ MUFG
“ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดหลักที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาความร่วมมือกับกรุงศรีกว่า 12 ปี เราได้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเสมือนคนในครอบครัว และเราจะยังคงยืนหยัดร่วมกันในการผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่ยังครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอีกด้วย”
ดังนั้นภายใต้ภูมิทัศน์ทางการเมือง และเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความผันผวนอย่างยิ่ง ทั้งในระดับโลกและภูมิภาค จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการร่วมมือกันเพื่อมุ่งสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง และเพิ่มขีดความสามารถเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ขณะที่ เคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 80 ปีของกรุงศรี สะท้อนถึงเส้นทางการเติบโตตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย ภายใต้การนำของกลุ่มผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์ ด้วยปรัชญาที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และได้รักษาเสถียรภาพของธนาคารให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายต่างๆ สู่การเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย และให้บริการลูกค้ากว่า 19 ล้านรายทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน
ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 8 ทศวรรษ บนเส้นทางดังกล่าว กรุงศรีได้ก้าวข้ามวิกฤติเศรษฐกิจ อย่างเช่น ต้มยำกุ้ง ในปี 2540 วิกฤติการเงินโลกในปี 2551 รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก
การยืนหยัดอย่างมั่นคงท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวได้หล่อหลอมให้กรุงศรีมีความแข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนในปัจจุบันทั้งระดับโลกและระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและสภาพภูมิอากาศ
โดยที่ปัจจุบันกรุงศรียืนหยัดในฐานะหนึ่งในธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 6 สถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ
“เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กรุงศรีมุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจหลัก (Core Banking) เร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล สนับสนุนวัฒนธรรมเชิงนวัตกรรม และดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Krungsri Net Zero Vision) ภายในปี 2573” เคนอิจิ กล่าว
ทั้งนี้กรุงศรี ยังได้มุ่งมั่นที่จะเป็นธนาคารพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงผ่านการดำเนินงานใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
ขณะเดียวกันทั้งโลกและประเทศไทยต่างยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนผ่านสำคัญที่ต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ซึ่งจะพิสูจน์ความสามารถในการปรับตัวและความมุ่งมั่นของธนาคารกรุงศรี ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อการค้าโลก และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน, ความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น, แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยกำลังชะลอตัวลงโดยได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซา และอุปสรรคด้านการส่งออก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ฯลฯ
ซึ่งในช่วงเวลานี้คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ว่า “เราจะอยู่รอดอย่างไร?” แต่คือ “เราจะเติบโตและก้าวหน้าได้อย่างไร?” มากกว่า และเพื่อที่จะเติบโตท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ เราต้องถามตัวเองว่า “เราจะลงมือทำสิ่งใดเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า”
เคนอิจิ กล่าวต่อไปว่า กรุงศรี ยังคงสร้างความแข็งแกร่งด้วยการมุ่งเน้นในเชิงกลยุทธ์ ทั้งการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักเพื่อสร้างคุณค่าในระยะยาว ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนองค์กรให้พร้อมสำหรับอนาคต ไม่ว่าจะเป็น การตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อย และลูกค้าบุคคล (Retail Banking) ในประเทศไทย ผ่านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และระบบนิเวศทางธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ใช้ความเชี่ยวชาญสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในการขยายธุรกิจไปทั่วภูมิภาคอาเซียน
“สำหรับลูกค้าธุรกิจเรายังคงเดินหน้าคิดค้นรูปแบบใหม่ ๆ ของการให้บริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และลงทุนเพิ่มขีดความสามารถและแพลตฟอร์มดิจิทัล ในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และสำคัญกว่านั้นคือการลงทุนในบุคลากรอย่างต่อเนื่อง”
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ที่จะเดินเคียงข้างลูกค้าตลอดเส้นทางการเติบโต ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่เพียงหลักการ ESG เท่านั้น แต่รวมถึงคุณค่าในระยะยาวในทุกมิติ และมุ่งมั่นสร้างพลังให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อเปิดประตูสู่ยุคใหม่แห่งการเติบโตอย่างมั่นคง และก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน
ด้าน เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวปาฐกถา ในหัวข้อ Industrial Reform: Steering Thailand’s Economy under Structural Disruptions ถึงวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ในการรับมือกับความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเน้นย้ำว่าแทนที่จะตั้งรับ ไทยควรใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง
ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายมิติ ได้แก่
พลิกโอกาสด้วยการ “สู้-เซฟ-สร้าง”
เอกนัฏ ได้นำเสนอแนวทางในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการจัดการกับปัญหาภายในที่สามารถควบคุมได้ เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้ คือ
1. สู้ ในการจัดการกับปัญหา "อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ" ที่นำเข้าหรือผลิตสินค้าด้อยคุณภาพมาทุ่มตลาดในประเทศ เช่น เหล็ก ยาง และสายไฟที่ไม่ได้มาตรฐาน
ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและกัดกินเศรษฐกิจภายในประเทศ รัฐมนตรีได้จัดตั้งคณะกรรมการและทีมงานเฉพาะกิจเพื่อเร่งตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ให้ทันสมัยและรวดเร็วยิ่งขึ้น
2. เซฟ ปกป้องอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมภายในประเทศด้วยการปฏิรูปกฎหมายและระบบการจัดการใหม่ และให้แรงจูงใจแก่ธุรกิจที่นำของเสียไปรีไซเคิลหรือแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งจะเป็นรากฐานของ Circular Economy
3. สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมไทย โดยเน้นการสนับสนุนนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ Smart Electronics รวมถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับภาคการเกษตรด้วยโมเดล BCG Economy
นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น Global Minimum Tax เพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาในประเทศ
เปลี่ยนวิธีการทำงานของภาครัฐ
เอกนัฏ ยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงกระบวนการทำงานของภาครัฐให้รวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะการลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI เข้ามาช่วยในการตรวจสอบและออกใบอนุญาต เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการที่ดีและถูกต้องตามกฎหมาย
สุดท้ายนี้ได้ทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำที่สร้างแรงบันดาลใจว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เราไม่มีเวลาจะมัวแต่คลานหรือเดิน แต่ต้อง “บิน” ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและพร้อมเพรียงกัน โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพที่มี ประเทศไทยจะสามารถพลิกฟื้นและก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ในอนาคตได้อย่างแน่นอน
รวมทั้งยังมีผู้ทรงคุณวุฒิท่านอื่นๆ ที่มาร่วมแชร์แนวคิดต่างๆ เพื่อให้ทุกธุรกิจสามารถทรานส์ฟอร์มธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มาร่วมแชร์ปาฐกถาในหัวข้อ The Upcoming Thailand’s Climate Change Act และได้ให้ข้อมูลความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอน
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้วิเคราะห์ 3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ สงครามการค้ารอบใหม่, การหยุดชะงักจาก AI, และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Mari Elka Pangestu ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และอดีตผู้บริหารธนาคารโลก, ได้ร่วมปาฐกถาในหัวข้อ “การคว้าโอกาสในภูมิภาคในภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลง” โดยได้กล่าวถึงความไม่แน่นอนระดับโลก รวมถึงการลดลงของพหุภาคีนิยมและสงครามการค้า ท่านวิเคราะห์ผลกระทบของภาษี Trump 2.0 ต่อเศรษฐกิจอาเซียน และความกังวลเรื่องกฎแหล่งกำเนิดสินค้าและการ "ฟอกสินค้าจีน" โดยแนะนำให้อาเซียนหลีกเลี่ยงการตอบโต้ (Avoid Retaliation) ต่อนโยบายการค้า แต่ให้พยายามเจรจาสองฝ่ายกับสหรัฐฯ ในเชิงสร้างสรรค์
นอกจากนี้ยังมีเวทีเสวนาโดยรวมผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภาครัฐและเอกชน ได้แก่ คุณพลช หุตะเจริญ - ที่ปรึกษาด้านการตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง, คุณประกอบ เพียรเจริญ - ประธานเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), Hideaki Takase - Chief Sustainability Officer, MUFG และ Colin Chen - Head of ESG Finance, APAC, MUFG Bank ซึ่งได้พูดถึงประเด็นสำคัญ ทั้งการใช้ Green Finance และ Transition Finance เป็นเครื่องมือปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอน และความจำเป็นของการสร้าง Taxonomy และมาตรฐานข้อมูล ESG ที่โปร่งใสเพื่อลดปัญหา greenwashing รวมไปถึงบทบาทใหม่ของธนาคารในการเป็น “พาร์ตเนอร์” ที่ช่วยออกแบบโซลูชัน ESG ให้เหมาะกับธุรกิจแต่ละประเภท
และท้ายสุด คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ได้มาเล่าประสบการณ์การเปลี่ยนความยั่งยืนให้เป็น “ระบบธุรกิจ” โดยเน้นการทำงานใน 3 ด้านหลัก คือ การลดคาร์บอน ผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง การใช้ Circular Economy สร้างระบบรีไซเคิลและใช้วัตถุดิบหมุนเวียนในห่วงโซ่อุปทาน และการวัดผลที่เป็นรูปธรรม เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งต่างๆ รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ การคำนึงถึงหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) ในการดำเนินธุรกิจจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ในโอกาสเดียวกันนี้ กรุงศรี ยังได้มีการจัดเวที Krungsri ESG Awards: Minute of Changes ซึ่งเป็นเวทีแห่งแรงบันดาลใจซึ่งเป็นการตัดสินรางวัลรอบสุดท้ายของโครงการ “Krungsri ESG Awards” ที่เป็นปีที่ 3 อย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโอกาสให้ผู้นำธุรกิจที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีความโดดเด่นในการขับเคลื่อน ESG อย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลจริงมาแสดงวิสัยทัศน์และนำเสนอแผนเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืน (Transition Plan) เพื่อเฟ้นหาและเชิดชูธุรกิจต้นแบบที่มีการดำเนินงานโดดเด่นตามหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อยกระดับผู้ประกอบการไทยสู่มาตรฐานระดับสากล และขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
โดยมี 5 บริษัทที่ได้รับรางวัล Krungsri ESG Awards “ESG Excellence Performance” ในปีนี้ ได้แก่ บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ตั้งต้นดี เพื่อสังคม จำกัด, บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน), บริษัท ลายวิจิตร จำกัด, และ บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด
โดยแผนธุรกิจของบริษัทที่ได้รับรางวัล ESG Excellence Performance มีความน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น ตั้งต้นดี เพื่อสังคม เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อการสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพผู้ก้าวพลาด ให้กลับคืนสู่สังคมอย่างปลอดภัย ซึ่งในประเทศไทยมีผู้พ้นโทษปีละกว่า 2 แสนคนต่อปี แต่มีเพียง 1 ใน 3 หรือ 35% เท่านั้นที่ได้กลับเข้าไปทำงานต่อ
และแน่นอนว่าการกระทำที่ผิดซ้ำไม่ใช่เพราะเป็นคนไม่ดี แต่มาจากสถานการณ์บังคับ เนื่องจากสังคม ครอบครัว ไม่ต้อนรับ หางานไม่ได้ก็ขาดรายได้ ขาดความรู้ ตามโลกไม่ทัน ไม่ให้อภัยตนเอง จึงเกิดเป็นโรงเรียนขึ้นมาเพื่อสร้างทักษะชีวิตให้คนเริ่มต้นใหม่กลับสู่สังคม ธุรกิจแรกคือ ครัวตั้งต้นดี ที่รับทุกเพศ ทุกวัย ทุกคดี โดยจะได้ค่าจ้างตั้งแต่วันแรกในการทดลองงาน มีหลักสูตร กิจกรรม เปลี่ยนบุคลิกให้กลับสู่สังคมได้
ทั้งนี้ ตั้งต้นดี เพื่อสังคม จะมีการทำทั้งธุรกิจ และโรงเรียน เพื่อมอบทุนทางความคิดและชีวิตให้ มีการทำฟู้ดคอร์ท เบเกอร์รี และร้านอาหาร ส่วนในด้านสิ่งแวดล้อม ตั้งต้นดี มีการผลิตขยะสดปีละ 20 ตัน มีงานจัดเลี้ยงปีละ 360 งาน สิ่งที่ดำเนินไปแล้วคือ ประหยัดไฟ ปิดเมื่อไม่ใช้ประหยัดไปได้กว่า 2.6 แสนบาทต่อปี ลดปริมาณบรรจุภัณฑ์ ลดปริมาณขยะ โดยปี 2573 ตั้งเป้าที่จะเป็น Zero Waste 100%
คิงสเตลล่า กรุ๊ป บริษัทไทยผู้บุกเบิกผลิตภัณฑ์ปรับอากาศและดูแลบ้านมากว่า 62 ปี เป็นผู้ผลิตน้ำยาเช็ดกระจกไม่ใส่แอมโมเนียรายแรกของไทย และผู้บุกเบิกสเปรย์ไร้ CFC ยืนหยัดดูแลสิ่งแวดล้อมกว่า 60 ปี เดินหน้าสู่ Net Zero ปี 2030 ด้วยแผนลดคาร์บอน 30% ติดตั้งโซลาร์รูฟ และใช้นวัตกรรม Eco Design เน้นพัฒนาบุคลากรให้เข้าใจ ESG และมีส่วนร่วมกับชุมชน ผ่านกิจกรรม “ตลาดนัดปันสุข” และ “ชุมชนชวนโชว์” พร้อมยึดหลักธรรมาภิบาลด้วยระบบวัดผลชัดเจน (GCI 91%) โดยเชื่อมั่นว่า ESG ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นการลดต้นทุนระยะยาว
ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน เปลี่ยนเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และขยะชุมชนสู่พลังงานสะอาด ขยายโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน Waste-to-Energy 6 แห่งทั่วไทย และตั้งเป้าสู่ Net Zero ในอีก 25 ปีข้างหน้า พร้อมบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตกว่า 220,000 tCO2e ที่ได้รับการรับรองแล้ว ด้วยการใช้เทคโนโลยี Direct Burn ที่ทันสมัย ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ สามารถแก้ปัญหาขยะล้นเมือง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนร่วมกับชุมชน และเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการผลักดันพลังงานสะอาดของประเทศไทย
ลายวิจิตร ผู้ผลิตบันไดสำเร็จรูปเจ้าแรกของไทย ปฏิวัติกระบวนการก่อสร้าง เดินหน้า ESG ด้วย “บันไดคาร์บอนต่ำ” ที่ลดเวลา ลดซัพพลายเชน และลดโลกร้อน ลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 27.9% และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 18% เตรียมเป็นบริษัทบันไดแห่งแรกที่ได้รับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO), การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) และการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) ครบถ้วน ไม่เล่นสงครามราคา แต่มองไกลและสร้างมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม พิสูจน์ว่า ESG คือการลงทุนที่คุ้มค่า ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้จริง
แสงเจริญแกรนด์ ผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสิ่งทอรีไซเคิลมายาวนานกว่า 60 ปี พลิกโฉมเศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Circular ร่วมมือกับองค์กรชั้นนำ เช่น การบินไทย และ FedEx เพื่อรีไซเคิลยูนิฟอร์มและเสื้อผ้าเก่าสู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง มุ่งมั่นลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 2,500 ตัน แสงเจริญแกรนด์ ตั้งเป้าสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2033 และ Net Zero ภายในปี 2043 พร้อมวิสัยทัศน์ในการเป็น “Physical Partner” ด้าน Textile Waste ในภูมิภาคอาเซียน ตอกย้ำถึงพันธกิจในการเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทออย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมีอีก 19 บริษัทที่ได้รับรางวัล “Highly Commended ESG Performance” ซึ่งเป็นการเชิดชูความริเริ่มและการดำเนินการตามแนวปฏิบัติที่ดีด้าน ESG และภายในงานยังมีการมอบ “ประกาศนียบัตรแห่งความภาคภูมิใจ” ให้กับ 46 บริษัทที่ผ่านการอบรมโครงการ Krungsri ESG Academy 2025 โดยตลอดระยะเวลา 5 เดือนของหลักสูตรเข้มข้นที่ออกแบบและถ่ายทอดโดยผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ ผู้ประกอบการได้เรียนรู้เชิงลึกทั้งด้านกลยุทธ์ เครื่องมือ และแนวปฏิบัติจริง เพื่อวางรากฐานการเปลี่ยนผ่านธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว
จากงานงานใหญ่แห่งปีของกรุงศรีอย่าง Krungsri-MUFG Business Forum 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียงการวาระครบรอบ 80 ปีของธนาคารกรุงศรีฯ เท่านั้น แต่เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกรุงศรี และ MUFG ที่จะร่วมกัน "สร้างพลังให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน" เพื่อเปิดประตูสู่ยุคใหม่แห่งการเติบโตอย่างมั่นคงและก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน
โดยพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้จริง ทั้งในระดับองค์กรและชุมชน ดังที่เห็นได้จากตัวอย่างผู้ประกอบการ SME ที่เข้าร่วมโครงการ Krungsri ESG Awards ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าร่วมกัน.