สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กำลังเปลี่ยนจากประเทศที่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองให้กลายเป็นมหาอำนาจเทคโนโลยีแห่งใหม่ของโลก จากดินแดนกลางทะเลทรายที่ยากจน สู่เศรษฐีบ่อน้ำมัน และต่อมาเป็นแดนสวรรค์ของการทำธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่ฉลาดและการวางแผนระยะยาวที่จะทำให้ UAE ถือไพ่เหนือใครในอนาคต รายการ Digital Frontiers ทางช่อง YouTube : Thairath Money วิเคราะห์กลยุทธ์เปลี่ยนเกมที่ทำให้ UAE เปลี่ยนจาก "ผู้ซื้อ" สู่ "ผู้ร่วมสร้างเทคโนโลยี" ระดับโลก ทำไม UAE ถึงกลายเป็นผู้ถือกุญแจเปิดประตูเทคโนโลยีอนาคต?
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กำลังเปลี่ยนจากประเทศที่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองให้กลายเป็นมหาอำนาจเทคโนโลยีแห่งใหม่ของโลก จากดินแดนกลางทะเลทรายที่ยากจน สู่เศรษฐีบ่อน้ำมัน และต่อมาเป็นแดนสวรรค์ของการทำธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่ฉลาดและการวางแผนระยะยาวที่จะทำให้ UAE ถือไพ่เหนือใครในอนาคต รายการ Digital Frontiers ทางช่อง YouTube : Thairath Money วิเคราะห์กลยุทธ์เปลี่ยนเกมที่ทำให้ UAE เปลี่ยนจาก "ผู้ซื้อ" สู่ "ผู้ร่วมสร้างเทคโนโลยี" ระดับโลก ทำไม UAE ถึงกลายเป็นผู้ถือกุญแจเปิดประตูเทคโนโลยีอนาคต?
ย้อนกลับไปเมื่อก่อน UAE เป็นหนึ่งในดินแดนที่ด้อยพัฒนาที่สุดของโลก ประเทศเล็กๆ ที่อยู่กลางทะเลทรายแทบไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม่น้ำ ไม่มีแร่ ไม่มีอุตสาหกรรม ผู้คนใช้ชีวิตแบบหมู่บ้านดำน้ำหาไข่มุกเลี้ยงชีพ กระทั่งเจอวิกฤตไข่มุกเทียมและเศรษฐกิจโลกตกต่ำในปี 1929 ทำให้ตกสู่ความยากจน
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมาถึงในปี 1950 เมื่อขุดพบบ่อน้ำมัน เหมือนถูกลอตเตอรี่ทั้งประเทศ รายได้จากน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในยุค 1970 ทำให้พวกเขากลายเป็นคนรวยแบบกระทันหัน ตอนนั้นพวกเขาใช้เงินซื้อสิ่งที่ดีที่สุด แพงที่สุด และแปลกใหม่ที่สุด โดยพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก
แต่แล้วปี 1986 เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนทุกอย่าง ราคาน้ำมันดิ่งลงทำให้อาหรับราตรีเกือบพังทลาย นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้นำ UAE ตั้งคำถามสำคัญว่า จะทำอย่างไรให้รวยอย่างยั่งยืน
พวกเขาตระหนักดีว่าน้ำมันจะไม่อยู่ตลอดไป และถ้าไม่เตรียมตัว คนรุ่นหลังจะกลับไปยากจนเหมือนเดิม นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนจากการ "ใช้เงิน" สู่การ "สร้างระบบ"
UAE อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่ประเทศนี้กลับสุขและสงบจนพัฒนาได้อย่างก้าวหน้า เพราะพวกเขาเข้าใจว่าในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การเอาแต่ตัวรอดไม่พอ แต่ต้องรู้จักวางตัวด้วย
UAE เลือกเป็นผู้ไกล่เกลี่ยมากกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีสัมพันธ์ดีกับอิหร่าน เซ็นสัญญาสันติกับอิสราเอล และเป็นพันธมิตรสหรัฐฯ นี่ไม่ใช่แค่การเมือง แต่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ เมื่อคุณปลอดภัย สงบ เป็นกลาง นักลงทุนจากทั่วโลกก็อยากมาลงทุนที่นี่
ผู้นำของ UAE มีวิสัยทัศน์ถึง "ชุมชนที่เจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งที่ยั่งยืน" และเริ่มแปลงวิสัยทัศน์นั้นให้เป็นจริงด้วยการวางแผนระยะยาว
ตั้งแต่ปี 1966 พวกเขาจัดตั้ง "สภาวางแผนอาบูดาบี" สร้างสนามบินดูไบ ท่าเรือ Jebel Ali และเขตเศรษฐกิจเสรี JAFZA ซึ่งเสนอการเป็นเจ้าของ 100% ยกเว้นภาษี 50 ปี จนดึงดูดบริษัทต่างชาติมากว่า 9,500 แห่ง
พวกเขายังแก้ปัญหาพื้นฐานที่ดูเหมือนแก้ไม่ได้ ในประเทศที่ไม่มีแม่น้ำสักสายเดียว น้ำใต้ดิน 90% เป็นน้ำเค็ม พวกเขาปฏิวัติเทคโนโลยีกำจัดเกลือ จนปัจจุบัน 90% ของน้ำได้มาจากการกำจัดเกลือ
นอกจากนี้ยังสร้างสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ อย่างเบิร์จคาลิฟา สกีดูไบ เกาะโลก เพื่อดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก
ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เห็นได้ชัด ในปี 2024 ถึง 75% ของ GDP มาจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน ทำให้น้ำมันกลายเป็นเพียง "รายได้เสริม" เท่านั้น
แต่ความสำเร็จครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น UAE ไม่ได้หยุดแค่การเป็นศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยว พวกเขากำลังมุ่งสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า คือ "การเป็นมหาอำนาจเทคโนโลยีของโลก"
แม้ว่า UAE จะไม่มีซิลิคอนวัลเลย์ ไม่มีมหาวิทยาลัยระดับ MIT หรือ Stanford และไม่มีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่เหมือนจีนหรืออเมริกา แต่พวกเขากำลังสร้างความสำเร็จในด้าน AI
ในปี 2023 ตลาด AI ใน UAE มีมูลค่า 3,470 ล้านดอลลาร์ พวกเขาได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐกับกานาเพื่อสร้างศูนย์กลาง AI และเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา
โครงการล่าสุดคือ Stargate UAE ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "การแข่งขันของมหาอำนาจ" เพื่อรองรับการประมวลผล AI ระดับโลก
UAE ใช้กองทุนความมั่งคั่งกระจายลงทุนแบบมีกลยุทธ์ทั่วโลก ได้แก่ Abu Dhabi Investment Authority (กองทุนใหญ่อันดับ 4 ของโลก), Mubadala (โฟกัสเทคโนโลยีล้ำสมัย), และ ADQ (ควบคุมธุรกิจใหญ่กว่า 90 แห่ง)
พวกเขาลงทุนใน Tesla ตอนคนไม่เชื่อรถไฟฟ้า, Microsoft, Apple, Google ก่อนเป็นยักษ์ใหญ่ แต่ไม่ได้แค่ "ให้เงินแล้วนั่งรอผลกำไร" แต่เป็น "หุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์" ที่ขอให้เปิด R&D center ใน UAE ฝึกคนท้องถิ่น และถ่ายทอดเทคโนโลยี
ตัวอย่างล่าสุดคือโครงการ Stargate UAE ที่ OpenAI, Nvidia, Oracle, Softbank รวมพลังกับ G42 บิ๊กเทคแห่ง UAE สร้างศูนย์ข้อมูล AI ใหญ่ที่สุดโลก UAE ไม่ได้แค่ให้เงิน แต่ให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บาราคาที่จ่ายพลังงานสะอาดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
UAE บริหารประเทศเหมือนสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่ที่พร้อมลองทุกอย่างที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ พวกเขาเปิดให้โลกเอานวัตกรรมมาทดลองที่นี่ด้วยการสร้าง "Regulatory Sandbox" ระดับประเทศ
ขณะที่หลายประเทศยังลังเลกับคริปโต UAE กลับสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน ทำให้เป็นที่หลบภัยของบริษัทคริปโตจากทั่วโลก หรือเรื่องรถบินได้ที่ Dubai กำลังทดสอบให้เป็นประเทศแรกที่ใช้งานเชิงพาณิชย์
การแบรนดิ้งตัวเองอย่างชาญฉลาดทำให้ทุกครั้งที่มีข่าวเทคโนโลยีใหม่ๆ UAE จะปรากฏตัวในข่าวว่า "กำลังทดสอบ" หรือ "กำลังนำมาใช้" เสมอ ทำให้สตาร์ทอัพคิดถึง UAE เป็นอันดับแรกเมื่อต้องการทดลองไอเดียใหม่
ในยุคเทคโนโลยี "คนเก่ง 1 คน สามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่าโรงงานทั้งแห่ง" แต่คนเก่งทั่วโลกติดปัญหา "วีซ่า" และ "ความไม่แน่นอน" ในการอยู่อาศัยระยะยาว
UAE แก้ปัญหานี้ด้วยการปฏิวัติระบบวีซ่า ได้แก่ Golden Visa ให้พำนัก 10 ปีโดยไม่ต้องมีนายจ้างรับรอง, Green Visa ให้ทำงาน 5 ปีอิสระจากนายจ้าง, และ Blue Residency สำหรับนักนวัตกรรมโดยเฉพาะ
สิ่งที่สำคัญกว่าคือการสร้าง "ระบบนิเวศ" ที่ทำให้คนเก่งไม่เพียงแต่อยากมา แต่ยัง "ไม่อยากไปไหน" ด้วยข้อได้เปรียบเชิงพื้นที่ที่กว่า 33% ของประชากรโลกสามารถเดินทางมาได้ภายใน 4 ชั่วโมง ไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และมีคุณภาพชีวิตระดับโลก
เรื่องราวของ UAE แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหน หากมีวิสัยทัศน์ชัดเจน วางแผนระยะยาว และลงมือทำอย่างจริงจัง การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้เสมอ
ประเทศที่ไม่มีแม่น้ำกลับมีกระแสเงินสดที่ไหลแรงระดับโลก UAE ไม่ได้ปลูกต้นไม้ แต่วางระบบนิเวศให้เทคโนโลยีเติบโต พวกเขาไม่ได้อยากเป็นผู้ครอบครองเทคโนโลยี แต่เป็นคนถือกุญแจเปิดประตู นี่คือ UAE มหาอำนาจใหม่แห่งโลกเทคโนโลยี