WHOOP ไม่ใช่แค่สายรัดข้อมือแต่คือสตาร์ทอัพผู้กุม Data สุขภาพล้ำค่ากำลังสร้างอำนาจที่เงินซื้อไม่ได้

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

WHOOP ไม่ใช่แค่สายรัดข้อมือแต่คือสตาร์ทอัพผู้กุม Data สุขภาพล้ำค่ากำลังสร้างอำนาจที่เงินซื้อไม่ได้

Date Time: 11 ก.ย. 2568 15:11 น.

Video

เบื้องหลังการลงทุนคริปโตของ นาโอมิ นิชิยาม่า เริ่มต้นเพราะใครกันนะ? l Money Secret EP.5

Summary

ทำความรู้จัก WHOOP สายรัดข้อมืออัจฉริยะ นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ที่ออกแบบมาเพื่อให้คนมีชีวิตดีและยืนยาวขึ้น จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ต้องการให้คนออกกำลังกายหนัก แต่อยากให้รู้ว่าควรออกแค่ไหน จนกลายเป็นผู้ที่กุมข้อมูลสุขภาพมหาศาลไว้ในมือ

Latest


ถ้าพูดถึง Wearable Devices หรืออุปกรณ์อัจฉริยะที่เราสามารถสวมใส่ได้บนร่างกาย ภาพที่ขึ้นมาในหัวแน่ ๆ ก็คงมี Smartwatch นาฬิกาอัจฉริยะ ไม่ก็ Fitness Trackers หรือเครื่องติดตามการออกกำลังกายของเรา และเชื่อว่าหลายคนกำลังมองหาเครื่องมือที่สามารถใช้งานได้ทั้งสองรูปแบบนี้ในเครื่องเดียวกัน

แต่มีอีกหนึ่งแบรนด์ที่ออกแบบมาให้ฉีกกฎของ Wearable Tech แทบจะทุกอย่าง คือ ไม่มีจอ มาในสไตล์มินิมอล ไม่มีแจ้งเตือนรบกวนบนร่างกายตอนที่ไม่ต้องการ ไม่มีเสียง เป็นแค่แถบรัดข้อมือเท่ ๆ ที่สามารถวิเคราะห์สุขภาพและร่างกายของผู้สวมใส่ได้ไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่ดูได้ถึงระดับความเครียด การนอน และยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกออกมา เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจร่างกายของตัวเอง พร้อมแนะแนวทางในการใช้ร่างกายที่เหมาะสมได้อีกด้วย

นวัตกรรมชิ้นนี้ คือ “WHOOP” สายรัดข้อมืออัจฉริยะที่กำลังเป็นที่นิยม เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพที่ปัจจุบันกำลังครอบครองข้อมูลสุขภาพของผู้คนทั่วโลก เก็บ Data เป็นข้อมูลเฉพาะตัวบุคคลเชิงลึกตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน โดยเฉพาะข้อมูลทางกายภาพ (Biometric Data) และนำมาวิเคราะห์ต่อ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถ “ปลดล็อกสมรรถนะของตัวเองและมีสุขภาพดีอย่างยืนยาว”

Thairath Money จะพาไปทำความเข้าใจเบื้องลึกว่า WHOOP คืออะไร ทำงานยังไง มีต้นกำเนิดมาจากไหน ทำไมถึงเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต และมีกลยุทธ์อะไรที่น่าสนใจจนถึงขั้นที่ทำให้นักกีฬา ตลอดจนคนดังระดับโลกหลายคนเลือกใช้งาน


WHOOP คืออะไร ทำงานยังไง?

WHOOP คือ สายรัดข้อมืออัจฉริยะ ที่จะคอยติดตามข้อมูลทางสรีรวิทยา อย่างเช่น การฟื้นตัว ความเหนื่อยล้า การนอนหลับ และความเครียด โดยมาพร้อมกับระบบ Subscription จ่ายเป็นรายปีเพื่อเข้าถึงข้อมูลการวิเคราะห์ร่างกายของเรา

WHOOP ออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถสวมใส่ได้ตลอดเวลา ลักษณะเป็นสายรัดข้อมือแบบมินิมอล ไม่มีหน้าจอ จะมีเพียงเซ็นเซอร์ตรงสายรัดไว้คอยตรวจดูข้อมูลทางร่างกายของผู้สวมใส่ โดย WHOOP มีฟีเจอร์ที่โดดเด่น ได้แก่

  • วิเคราะห์ข้อมูลการฟื้นตัว ความเหนื่อยล้า การนอนหลับ และความเครียด
  • มีระบบตรวจวัดการเคลื่อนไหวและจำนวนก้าว
  • วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้านฮอร์โมนสำหรับผู้หญิง
  • ตรวจสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด (VO₂ Max) และช่วงอัตราการเต้นของหัวใจ
  • ประเมินช่วงอายุสุขภาพจริง (Healthspan) ด้วย WHOOP Age
  • ตรวจคัดกรองภาวะหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG)
  • วิเคราะห์ความดันโลหิตเชิงลึก (กำลังอยู่ในช่วงทดลอง)

โดยระบบสมาชิกของ WHOOP จะมีให้เลือกทั้งสิ้น 4 แบบ มีหลากหลายตั้งแต่ระดับทดลองใช้ 1 เดือน ไปจนถึงเป้าหมายใช้งานตลอดชีวิต ซึ่งทุกรูปแบบจะมีการส่งอุปกรณ์ที่เป็นสายรัดข้อมือ ปัจจุบันจะเป็นรุ่น WHOOP 5.0 และตัวชาร์จให้ แต่การวิเคราะห์ข้อมูลจะมีแตกต่างกันไปตามโมเดลที่เราสนใจ โดยมีให้เลือก ได้แก่

ระบบสมาชิกในระดับต่าง ๆ (ภาพจาก WHOOP)
ระบบสมาชิกในระดับต่าง ๆ (ภาพจาก WHOOP)


  • Free Trial: ทดลองใช้ได้ 1 เดือน ในระดับนี้จะได้อุปกรณ์สายรัดข้อมือเนื้อผ้าแบบถักมาพร้อมเซ็นเซอร์ WHOOP 5.0 และสายชาร์จ โดยฟีเจอร์ที่ได้รับค่อนข้างจะครบถ้วน ขาดแต่ตรวจคัดกรองภาวะหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และวิเคราะห์ความดันโลหิตเชิงลึก 

    และหลังจากทดลองใช้งานแล้ว หากสนใจต่อระบบสมาชิก ระบบจะปรับให้อัตโนมัติเป็นสมาชิกระดับ WHOOP Peak ที่จะต้องชำระ 239 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งส่วนนี้สมาชิกสามารถเลือกได้ว่าจะจ่ายก้อนเดียวรายปี หรือแบ่งจ่ายรายเดือนเป็นระยะ 1 ปีก็ได้ แต่หากไม่ถูกใจก็สามารถส่งอุปกรณ์ต่าง ๆ กลับคืนให้บริษัทได้ โดยการชำระค่าส่ง 8.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 290 บาทด้วยตัวเอง

  • ONE: ในระดับนี้จะมีการจ่ายค่าสมาชิกรายปีที่ 199 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,400 บาทต่อปี อุปกรณ์ที่ได้จะมีสายรัดข้อมือเนื้อผ้าแบบถักมาพร้อมเซ็นเซอร์ WHOOP 5.0 และสายชาร์จ และมีฟีเจอร์น้อยที่สุดหากเทียบกับระดับอื่น ๆ 

ชาร์จได้โดยไม่ต้องถอดอุปกรณ์ออกจากข้อมือ (ภาพจาก WHOOP)
ชาร์จได้โดยไม่ต้องถอดอุปกรณ์ออกจากข้อมือ (ภาพจาก WHOOP)


  • PEAK: ค่าสมาชิกรายปีสำหรับระดับ PEAK อยู่ที่ 239 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7,600 บาทต่อปี มาพร้อมกับอุปกรณ์ ได้แก่ สายรัดข้อมือเป็นโลหะออบซิเดียนลายถัก เซ็นเซอร์ WHOOP 5.0 และตัวชาร์จแบบไร้สาย โดยฟีเจอร์ที่ได้รับค่อนข้างจะครบถ้วน แต่ขาดฟีเจอร์ตรวจคัดกรองภาวะหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และวิเคราะห์ความดันโลหิตเชิงลึก

    ในระดับนี้จะเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้ โดยจะสามารถสวมใส่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถชาร์จได้แบบไม่ต้องถอดสายรัดออกจากตัว และหากต้องการอัพเกรดให้ดีขึ้นก็สามารถจ่ายค่าสมาชิกส่วนต่างได้ทันที ระบบก็จะอัพเดตฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้

  • LIFE: ระดับนี้มีค่าสมาชิกรายปีแพงที่สุดอยู่ที่ 359 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 12,000 บาทต่อปี จะต่างจากรุ่นอื่น ๆ คือ มีเซ็นเซอร์เป็น Medical-Grade Device หรือมีเทคโนโลยีมาตรฐานระดับการแพทย์ มาพร้อมกับสายโลหะแบบพรีเมี่ยม และตัวชาร์จแบบไร้สาย

    ในระดับนี้ หากสมาชิกต้องการจะอัพเกรดระดับที่ต่ำกว่าขึ้นมา ทางบริษัทจะส่งเซ็นเซอร์ MG ไปให้โดยที่ไม่ต้องส่งอุปกรณ์ที่มีอยู่เดิมกลับ และสมาชิกจะต้องชำระส่วนต่างค่ารายปีเพิ่ม สำหรับฟีเจอร์ที่ได้จะครบถ้วนทุกอย่าง ครอบคลุมถึงวิเคราะห์ความดันโลหิตเชิงลึกที่กำลังอยู่ในช่วงทดลองด้วย

ทั้งนี้ อุปกรณ์ทุกอย่างจะมีการรับประกันตลอดอายุการใช้งาน ถ้าผู้ใช้ต้องการจะอัพเกรดทำได้เพียงจ่ายส่วนต่างเพิ่มระบบก็จะอัพเดตให้ทันที (และหากอัพเกรดเป็น LIFE ก็จะมีการส่งอุปกรณ์ MG Device ไปให้) แต่หากต้องการจะลดเกรดลงมา เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามแผนแรกที่เลือกไว้ ระบบก็จะลดเกรดให้อัตโนมัติ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือคืนอุปกรณ์ใดใดเลย

WHOOP Body Smart Apparel (ภาพจาก WHOOP)
WHOOP Body Smart Apparel (ภาพจาก WHOOP)


และนอกจากสายรัดข้อมือแล้ว WHOOP ยังมี WHOOP Body Smart Apparel มีเสื้อผ้าในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งบรา ชุดชั้นใน กางเกงขาสั้น หรือแม้กระทั่งชุดว่ายน้ำ ที่ผู้ใช้สามารถถอดเซ็นเซอร์ออกมา และติดตัวในนำแหน่งอื่น ๆ บนเสื้อผ้าของ WHOOP เพื่อที่จะสามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใส่ไว้บนข้อมือ ใช้งานทั้งตอนออกกำลังกาย นอนหลับ หรือออกงาน


ต้นกำเนิดและกลยุทธ์สุดยูนีคของ WHOOP

เส้นทางของ WHOOP เริ่มต้นมาจาก Will Ahmed ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของแบรนด์ โดย Will ได้ค้นพบว่าตัวเองที่เป็นกัปตันของทีมกีฬาสควอช (Squash) ของมหาวิยาลัยฮาร์วาร์ดนั้นมีภาวะออกกำลังกายหนักเกินไป (Overtrain) มีผลมากจากการกดดันตัวเองตอนได้รับตำแหน่งกัปตันทีม ซึ่งการเทรนหนักเกินไปส่งผลเสียต่อร่างกาย

เลยเป็นต้นตอให้ Will Ahmed ต้องการที่จะศึกษาร่างกายของตัวเอง ต้องการที่จะติดตามผลการฝึก การออกกำลังกาย การนอน ความเครียด ไปจนถึงการกิน แต่เทคโนโลยีในช่วงนั้นยังไม่ครอบคลุมที่จะติดตามข้อมูลได้ครบขนาดนั้น 

“ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำอะไรกับร่างหายตัวเองบ้างเวลาที่ซ้อม เชื่อว่านักกีฬาหลายคนเป็น บ้างก็ฝึกหนักเกิน บ้างก็ฝึกน้อยเกิน ไม่ก็ไม่รู้ว่าจุดที่เหมาะสมของตัวเองอยู่ตรงไหน และไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการพักฟื้นร่างกายหรือการนอนหลับ ซึ่งแน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้น” Will Ahmed กล่าวในรายการพอดแคสต์ของ WHOOP

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Will ก็เริ่มศึกษาอย่างจริงจังทั้งในด้านสรีรวิทยา ศึกษาข้อมูลทางการแพทย์ จนในปี 2012 ก็ได้มีการเปิดตัวแบรนด์ WHOOP ออกมาครั้งแรก เป็นอุปกรณ์สวมข้อมืออัจฉริยะที่ให้บริการผ่านระบบสมาชิก จนในปี 2024 ที่ WHOOP มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีลูกค้าผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพอยู่ทั่วโลก และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลทางทางกายภาพของบุคคลได้มากกว่า 50,000 ล้านจุดต่อวัน

ความสำเร็จในระดับนี้มีผลมาจากการกลยุทธ์การตลาดสุดชาญฉลาดของแบรนด์ โดย WHOOP เริ่มต้นจากการทำแคมเปญร่วมกับนักกีฬาระดับโลก เจาะกลุ่มไปที่กีฬาอาชีพ เมื่อผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกออกมาก็มีนักกีฬาอาชีพได้ทดลองใช้ ซึ่งในนั้นก็รวมไปถึง LeBron James, Cristiano Ronaldo, Aryna Sabalenka และ Michael Phelps 


นอกจากนี้ WHOOP ยังได้จับมือกับ NFL Players Association สมาคมอเมริกันฟุตบอลของสหรัฐอเมริกา ทำให้นักกีฬา NFL ทุกคนได้ใช้งานอุปกรณ์ของ WHOOP ด้วย จนต่อมาก็ขยายความร่วมมือไปสู่ MLB หรือ Major League Baseball ลีกเบสบอลมืออาชีพที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐอเมริกา และลามไปถึงหน่วยซีลของสหรัฐอเมริกาที่ได้เอา WHOOP ไปใช้งาน ก่อนที่จะเข้าถึงบุคคลทั่วไปมากขึ้นในเวลาต่อมา

“เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่ WHOOP เป็นอุปกรณ์ไฮเอนด์สำหรับนักกีฬา มาตอนนี้ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนจำนวนมากเห็นคุณค่าในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในแต่ละวัน” Will Ahmed กล่าวในรายการพอดแคสต์ของ WHOOP

การเริ่มต้นที่ดีที่เป็นแต้มต่อในการเติบโตของ WHOOP นั้น ยังได้รับแรงหนุนจากการพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ ลงไปจนทำให้ WHOOP กลายเป็นเครื่องมือเพื่อดูแลร่างกายที่หลายคนขาดไม่ได้ ยิ่งเมื่อมีเทคโนโลยีอย่าง AI เข้ามาก็ยิ่งทำให้ WHOOP ได้เปรียบคู่แข่งไปอีก

WHOOP มีฟีเจอร์อย่าง WHOOP Coach ขับเคลื่อนด้วยโมเดล GPT-4 ของ OpenAI ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็น “Search Engine สำหรับร่างกาย” ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสอบถามข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ ของตัวเองได้ และยังได้รับคำแนะนำแบบเฉพาะบุคคลได้แบบเรียลไทม์ตลอดเวลา


เจ้าของข้อมูลที่ไม่สามารถตีเป็นมูลค่าได้

นอกจากนี้ ข้อมูลต่าง ๆ ของร่างกายผู้ใช้งานที่ WHOOP เก็บไปจะถูกนำไปใช้วิเคราะห์ในเชิงลึกในหลายด้าน โดยในวันแรกที่เปิดใช้งาน WHOOP จะเริ่มเก็บข้อมูลทางกายภาพอย่าง การนอน ความเครียด การฟื้นฟูร่างกาย และสุขภาพหัวใจ ซึ่งผู้ใช้จะสามารถเช็ตข้อมูลเบื้องต้นอย่าง อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ หรือนับก้าวในทันทีที่สวมใส่

ภาพจาก WHOOP
ภาพจาก WHOOP


การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของ WHOOP จะดำเนินไปเรื่อย ๆ และจะปลดล็อกฟีเจอร์ Healthspan หรือเช็คอายุสุขภาพร่างกายได้ตอนครบ 21 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่อุปกรณ์จะช่วยประเมินอายุร่างกายในเชิงชีวภาพ และชะลออัตราการสูงวัย (Pace of Aging) โดยมีงานวิจัยรองรับ โดยจะช่วยชี้เฉพาะถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่สามารถยืดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตให้อยู่นานขึ้น

และหลังจากนั้นเมื่อครบระยะเวลาราว 1 เดือน WHOOP จะสามารถทำงานได้แม่นยำขึ้น ตามที่ได้ติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลของร่างกายผู้ใช้ จะสามารถให้คำแนะนำในเรื่องความเครียดและการนอนหลับ ออกแบบแนวทางการฟื้นฟูร่างกายที่เหมาะกับแต่ละคน ตลอดจนปลดล็อกให้เห็นเทรนด์ที่ควรปฏิบัติตาม เพื่อให้ร่างกายได้พัฒนาต่อเนื่องและเหมาะสม

ปัจจุบันตลาด Healthcare เติบโตขึ้นต่อเนื่อง และยิ่งมี AI เข้ามาก็ยิ่งเร่งให้หลายฝ่ายทุ่มเงินให้กับอุตสาหกรรมนี้ จนมีการประมาณการไว้ว่า มูลค่าตลาด Healthcare ในยุค AI จะมีมูลค่าทะลุ 868,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ส่วนตลาด Wearable Medical Devices จะโตไปจนมีมูลค่ากว่า 168,290 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2030 เช่นกัน

ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ทั้ง Google, Apple, Microsoft, Facebook และ Amazon ต่างพยายามที่จะนำข้อมูลด้านสุขภาพไปใช้ประโยชน์ จนปัจจุบันข้อมูลเหล่านี้อยู่ในมือบิ๊กเทคมากกว่าที่รัฐบาลในหลายประเทศถืออยู่เสียอีก

แล้วข้อมูลสุขภาพสำคัญยังไง? ข้อมูลสุขภาพ นั้นคือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาวะสุขภาพ ผลลัพธ์การเจริญพันธุ์ สาเหตุการเสียชีวิต และคุณภาพชีวิต จึงเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศด้วย ผ่านการนำไปใช้ในด้านสาธารณสุข พัฒนาและวิจัยยารักษาหรือวิธีการรักษาโรคใหม่ นอกจากนี้ในฝั่งของนักสิทธิมนุษยชนได้ใช้ข้อมูลสุขภาพเหล่านี้เป็นเครื่องมือระบุประชากรเปราะบาง และติดตามความก้าวหน้าของรัฐในการทำให้สิทธิด้านสุขภาพเป็นจริง

ภาพจาก WHOOP
ภาพจาก WHOOP


สำหรับ WHOOP ที่มีการเก็บข้อมูลแบบตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันนั้น ก็ได้นำข้อได้เปรียบตรงนั้นมาช่วยให้ผู้ใช้สามารถมี Healthspan ที่ยาวขึ้น และยังเป็นการสร้าง Flywheel เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันอีกด้วย

โดยกระบวนการ Flywheel นี้ของ WHOOP มีการทำงานดังต่อไปนี้

  • ผู้ใช้มากขึ้น: เมื่อฐานผู้ใช้เติบโตขึ้น ปริมาณและความหลากหลายของข้อมูลที่เข้ามาก็เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
  • ข้อมูลมากขึ้น: ชุดข้อมูลที่ขยายตัวอยู่ตลอดเวลานี้ ทำหน้าที่เป็นสนามฝึกฝนสำหรับอัลกอริทึมที่เป็นกรรมสิทธิของ WHOOP
  • อัลกอริทึมฉลาดขึ้น: เมื่อมีข้อมูลให้เรียนรู้มากขึ้น แบรนด์ก็จะสามารถปรับปรุงโมเดลสำหรับการคำนวณและวิเคราะห์ได้ดีขึ้น ทำให้มีข้อมูลเชิงลึก มีความแม่นยำ ละเอียด และสามารถคาดการณ์ได้ดียิ่งขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์ดีขึ้น: ผลิตภัณฑ์ที่แม่นยำและมีคุณภาพมากขึ้นนำไปสู่ความพึงพอใจและการรักษาฐานผู้ใช้ที่สูงขึ้น และยังดึงดูดสมาชิกใหม่ เพิ่มผู้ใช้ให้มากขึ้น และวงจรนี้ก็ดำเนินต่อไปซ้ำ ๆ ต่อเนื่องเป็น Flywheel ฉบับ WHOOP นั่นเอง


ที่มา: WHOOP [1][2][3][4][5], Harvard, Glorikian, Tacticone, PwC, Grandview Research 


ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney 



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ