เมื่อสุดสัปดาห์สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศเรื่อง “คนไทยกับการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ” พบว่า ปัญหาที่คนไทยกังวลมากที่สุด 73.23% คือ เรื่องราคาสินค้าแพงขึ้น รองลงมา 67.36% คือ ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ตามมาด้วย 65.58% กังวลหนี้สินครัวเรือนสูง 

สอดคล้องกับรายละเอียดของเงินเฟ้อล่าสุดของไทยในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าอัตรา เงินเฟ้อทั่วไปของไทยจะติดลบ 0.22% จากเดือนก่อนหน้า แต่หากพิจารณาในตะกร้าเงินเฟ้อของเรา ราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะกลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ สัตว์น้ำ เนื้อสุกร ปลานิล อาหารในกลุ่มผักสด กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และกลุ่มอาหารสำเร็จรูป อาหารโทร.สั่ง (Delivery) ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตของคนส่วนใหญ่ มีราคาสูงขึ้น

และหากเราเข้าไปเปิดตะกร้าเงินเฟ้อของไทย ที่แสดงรายละเอียดของการใช้จ่ายของคนไทย จะยิ่งเข้าใจความรู้สึกคนไทยในขณะนี้มากยิ่งขึ้น โดยจากโครงสร้างของตะกร้าเงินเฟ้อในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สำรวจทุกเดือน

พบว่า 3 หมวดแรกที่คนไทยบริโภค ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม 38.74% ใช้เงินไปกับเคหสถาน ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบำรุงรักษา 24.77% ตามมาเป็นอันดับ 2 และอันดับ 3 คือ หมวดค่าพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าทางด่วน เป็นอันดับ 3 อยู่ที่ 22.71%

ซึ่งหากรวม 3 หมวดนี้ ถือเป็นค่าใช้จ่ายรวม 86-87% ของคนไทยในแต่ละเดือนแล้ว!!

ส่วนรายจ่ายที่เหลือแบ่งเป็นค่าตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล เช่น ค่ายา ค่ารักษาพยาบาล และของใช้ส่วนตัว 6.43% หมวดการบันเทิง การอ่านและการศึกษา ค่าเทอม ค่าคอมพิวเตอร์ กิจกรรมเพื่อความบันเทิงและทำบุญ 3.99% เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า 2.13% และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ 1.23%

...

และหากพิจารณาในด้านราคาจะพบด้วยว่า ใน 3 หมวดที่คนไทยใช้จ่ายเป็นหลักนั้น มีเพียงราคาพลังงาน น้ำมันเชื้อเพลิง และค่าไฟที่ลดลง แต่สินค้าที่เหลือส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงและบางรายการราคาเพิ่มขึ้น

แม้ “เงินเฟ้อ” ติดลบก็ไม่ได้แปลว่า ค่าใช้จ่ายจะลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นช้าและเปราะบางไม่ช่วยให้รายได้คนไทยเพิ่มขึ้น บางอาชีพรายได้ยังไม่กลับมาเท่ากับช่วงโควิด ในขณะที่บางอาชีพถูกลดเงินเดือน และโอที บางอาชีพขอให้มีงานทำอยู่ก็ถือว่าดีมากแล้ว

ดังนั้น หากในขณะนี้รัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ และนักวิชาการ ซึ่งกำลังแสดงความกังวลต่อ “ภาวะเงินฝืด” ในช่วงนี้ อยากจะเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ “มิสเตอร์พี” ไม่อยากให้สนใจนิยามของเงินฝืดในแง่วิชาการ

แต่อยากให้สนใจว่า “เงินในกระเป๋า” คนไทยส่วนใหญ่วันนี้เพียงพอกับรายจ่ายที่มีหรือไม่ เงินที่ใช้จ่ายทุกวันนี้มาจากไหน วันนี้คนไทยอยู่ได้ด้วยการกู้หนี้ยืมสิน หรือ การทำงานเทาๆ เพื่อหาเงินเพิ่มมาใช้จ่ายหรือไม่ เพราะนอกจากจะทำให้เข้าใจภาวะเศรษฐกิจไทย ยังจะเข้าใจภาวะสังคมไทยมากขึ้นไปพร้อมกัน.

มิสเตอร์พี

คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม