ผู้ผลิตรถยนต์ BYD กำลังเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดจีน ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้กำไรไตรมาส 2/68 ลดลงเกือบ 30% โตช้าสุดในรอบ 5 ปี พร้อมปรับลดเป้ายอดขายปีนี้เหลือ 4.6 ล้านคัน

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา สำนักข่าว reuters รายงานว่า BYD หรือ บีวายดี แบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของจีนกำลังเผชิญการเติบโตที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 5 ปี และมีสัญญาณอื่น ๆ ว่ายุคแห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดอาจใกล้ถึงจุดสิ้นสุด โดย BYD ได้ปรับลดเป้าหมายยอดขายรถยนต์ปีนี้ลงมากถึง 16% เหลือ 4.6 ล้านคัน

แม้ว่า BYD จะเคยบอกนักวิเคราะห์ในเดือนมี.ค.ว่า ยอดขายปี 2568 นี้บริษัทได้ตั้งเป้าไว้ที่ 5.5 ล้านคัน แต่ภายในบริษัทได้มีการปรับลดตัวเลขนี้หลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

แหล่งข่าวทั้งสองได้กล่าวกับรอยเตอร์ว่า การปรับลดเป้าหมายเกิดขึ้นในช่วงที่ BYD กำลังเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากคู่แข่ง เช่น Geely Auto และ Leapmotor

โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ BYD ทำยอดขายได้เพียง 52% ของเป้าหมายเดิมที่ 5.5 ล้านคัน ซึ่งปัจจัยลบ หรือแรงกดดันมาจากภาวะเงินฝืด และวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ ที่ยืดเยื้อมานาน ในเวลาเพียงไม่กี่ปี BYD ได้เปลี่ยนตัวเองจากผู้เล่นหน้าใหม่ด้านรถยนต์ไฟฟ้าไปสู่การเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายสำคัญของโลก ด้วยการผลิตชิ้นส่วนส่วนใหญ่เอง ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้แม้จะเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ

สำหรับยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ หรือ EV และปลั๊กอินไฮบริด PHEV ของบริษัท เติบโตถึงสิบเท่าระหว่างปี 2020 ถึง 2024 แตะ 4.3 ล้านคัน ทำให้ BYD อยู่ในระดับเดียวกับ General Motors และ Ford ในแง่ของยอดขายทั่วโลก

...

ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในตลาดหลักคือจีน ซึ่งคิดเป็นเกือบ 80% ของยอดขาย และกำลังเผชิญสงครามราคาที่รุนแรงมาหลายปี

อย่างไรก็ตามสอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของ ไชน่า เมอร์แชนท์ แบงก์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ CMBI ที่ปรับลดคาดการณ์ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ของ BYD ปี 2025 ลง 5% เหลือ 4.9 ล้านคัน จากเดิมที่บริษัทตั้งเป้าไว้ 5.5 ล้านคัน ส่งผลให้ความคาดหวังในการครองตำแหน่งผู้นำตลาดโลกเผชิญแรงท้าทายมากขึ้น

ขณะเดียวกัน BYD ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2025 พบว่ากำไรสุทธิอยู่ที่ 6,400 ล้านหยวน หรือประมาณ 28,608 ล้านบาท ซึ่งลดลงเกือบ 30% จากปี202ภ ซึ่งถือเป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปีครึ่ง 

ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 200,900 ล้านหยวน หรือประมาณ 914,095 ล้านบาท เติบโตเพียง 14% ชะลอตัวลงจากไตรมาส 1/2025 ที่เติบโตถึง 36.35% อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 16.27% จาก 20.07% ในไตรมาสก่อน

โดยสาเหตุหลักมาจากกลยุทธ์ตลาดว่าด้วยเรื่องการลดราคาอย่างหนักเพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา บีวายดี ลดราคารถยนต์สูงสุดถึง 34% ขณะที่ก่อนหน้านั้นในเดือนก.พ. BYD ได้ ประกาศขายรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวีรุ่นติดตั้งระบบช่วยขับอัตโนมัติ God Eye ในราคากว่า 100,000 หยวน หรือประมาณ 452,268 บาท แต่สุดท้ายกลับขายต่ำกว่าระดับที่ประกาศไว้