ส.อ.ท. ปรับประมาณการยอดผลิตรถเพื่อส่งออกปี 68 ลดลงอีก 5 หมื่นคัน ฉุดยอดผลิตทั้งปีเหลือ 1.45 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายรถกระบะในประเทศลดลง 19.9%
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้ปรับตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในปี 2568 จากเดิม 1,500,000 คัน ลดลง 3.33% เป็น 1,450,000 คัน ลดลง 50,000 คัน โดยปรับเป้าเฉพาะผลิตเพื่อส่งออกลดลง 5% จาก 1,000,000 คันเป็น 950,000 คัน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับลดเป้าหมายการผลิตเพื่อการส่งออก ดังนี้
- มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อมูลค่าการค้าโลกภาวะ
- เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อและยอดจำหน่ายรถยนต์ลดลง
- การเพิ่มความเข้มงวดด้านข้อกำหนดการปล่อยคาร์บอน
- การยุติการผลิตรถยนต์บางรุ่นเพื่อปรับไลน์การผลิตสู่รุ่นใหม่
- ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคของโลก
- การรุกตลาดของรถยนต์ในประเทศคู่ค้า ซึ่งเพิ่มการแข่งขันและกดดันยอดขาย
ขณะที่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ยังคงประมาณการเดิม อยู่ที่ 500,000 คัน การปรับลดตัวเลขดังกล่าวมาจากหลายๆ ปัจจัยอาทิ กำลังซื้อในประเทศที่ลดลงต่อเนื่อง สถาบันการเงินยังเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่สูง ประชาชนส่วนใหญ่จึงลดการใช้จ่ายลง ฯลฯ
...
"การปรับลดตัวเลขดังกล่าว สอดคล้องกับยอดผลิตรถยนต์ในรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 724,715 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 4.80% ซึ่งเป็นผลจากยอดผลิตเพื่อส่งออกอยู่ที่ 475,013 คัน ลดลง 7.98% ตามยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป อยู่ที่ 459,357 คัน ลดลง 11.50% โดยการส่งออกรถยนต์เฉพาะเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 88,085 คัน ลดลงจากปีก่อน 1.11% เนื่องจากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกบางรุ่น จากการเข้มงวดเรื่องอุปกรณ์ช่วยเหลือการขับ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงของประเทศคู่ค้า"
ทั้งนี้หากรัฐบาลยังเจรจาขอลดภาษีสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐไม่สำเร็จ และเรายังโดนเก็บภาษีส่งออกในอัตรา 36% ซึ่งสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้โตแค่ 1% ตามที่หลายฝ่ายคาด จะยิ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกสินค้าต่างๆ รวมถึงแรงงานจะได้รับผลกระทบด้านรายได้ลดลงตามไปด้วย
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ 6 เดือนแรกของปีนี้ แม้ว่าจะลดลง 1.73% อยู่ที่ 302,694 คัน แต่ยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 6 เดือนอยู่ที่ 249,702 คัน เพิ่มขึ้น 1.90% สอดคล้องกับยอดขายในประเทศเฉพาะเดือนมิ.ย.ที่อยู่ที่ 50,079 คัน เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันประมาณ 5.07% เพราะเทียบกับฐานต่ำของปีที่แล้ว จากยอดขายที่ลดลงตั้งแต่เดือนเม.ย. 2566 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากการขายรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และรถเอนกประสงค์ที่ดัดแปลงจากรถปิกอัพ (PPV) ที่มีการออกรุ่นใหม่ของบางบริษัท
ในส่วนของกลุ่มรถกระบะยังคงขายลดลง 19.9% จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศยังคงอ่อนแอจากการลงทุนภาคเอกชนไตรมาส 1 ปีนี้ ลดลง 0.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าส่งผลให้แรงงาน โดยภาคการผลิตลดลง 0.4% สาขาก่อสร้างลดลง 5.1% อำนาจซื้อของประชาชนจึงอ่อนแอ