มีรถยนต์ประมาณ 900 ล้านคันในโลกและมีรุ่นนับพันๆรุ่นที่จำกันไม่หมด แต่มีรถที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของโลกยานยนต์เพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น SL ของ Mercedes-Benz คือหนึ่งในนั้น ไม่มีใครปฏิเสธว่ารถ GT อันโด่งดังของแบรนด์ตราดาวนั้นมีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ตโลก SL ถูกหล่อหลอมขึ้นมาให้เป็นรถสปอร์ตสำหรับวิ่งบนสนามแข่ง แล้วกลายมาเป็นรถสำหรับขับบนถนนสาธารณะที่ยอดเยี่ยมที่สุด หลายรุ่นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ตั้งแต่ต้นทศวรรษปี 1950 โมเดล SL เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้วันเวลาจะผ่านเลยไป แต่ SL ยังคงใช้ตราสัญลักษณ์เดิมเสมอ นี่คือเรื่องราวของตราสัญลักษณ์ที่ย้อนรอยเส้นทางไปจนถึงรถสปอร์ตที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก

...

ตั้งแต่ 300 SL Gullwing Coupé และ 300 SL Roadster ออกมาโลดแล่นอยู่บนถนนเมื่อกว่า 60 ปีก่อน สปอร์ตตราดาวทั้งสองรุ่นได้กลายมาเป็นของสะสมชั้นยอด ในช่วงทศวรรษ 1970 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นี่คือการลงทุนระดับบลูชิปที่มีผลตอบแทนสูงลิบ Gullwing Coupé ผลิตขึ้นจำนวน 1,400 คันพอดิบพอดี ตั้งแต่ปี 1954 ถึง 1957 ส่วน 300 SL Roadster ผลิตในจำนวนจำกัดแค่ 1,858 คัน ตั้งแต่ปี 1957 ถึง 1963 จนถึงทุกวันนี้ รถรุ่นหลังๆช่วงปี 1960-1963 กลายเป็นรถที่นักสะสมมหาเศรษฐีต้องการมากที่สุดเพราะมาครบและขับได้ดีกว่ารุ่นแรก

...

ในปี 1951 เมื่อผู้บริหารของ Merc ตกลงกันว่า บริษัทฯ ต้องการรถแข่งเพื่อลงทำการแข่งขันหลังจากหยุดมานาน พวกเขาสั่งให้สร้าง '300 Super Light' ซึ่งต่อมาย่อเหลือแค่ 'SL' นั่นมันนานมาก ก่อนที่ Colin Chapman จะสร้างรถสปอร์ตที่เน้นความเบายี่ห้อ Lotus

Rudy Uhlenhaut หัวหน้าฝ่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของ Merc ในเวลานั้น ได้ออกแบบโครงรถทำจากท่อโลหะน้ำหนักเบาอะลูมิเนียมและแมกนีเซียม โครงรถนั้นเบามากจนมีน้ำหนักเพียง 50 กิโลกรัมเท่านั้นเอง Uhlenhaut ยังวางเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง ความจุ 3.0 ลิตร เป็นขุมกำลังของรถเก๋งตราดาวยุคใหม่ในสมัยนั้น ซึ่งก็คือ 300 'Adenauer Mercedes' เครื่องยนต์ถูกปรับเพิ่มกำลังเป็น 170 แรงม้า ต่อมา ในปี 1952 Mercedes-Benz เปิดตัวรถแข่ง 300 SL ออกมา และมันก็ออกมาดูดีมาก

...

...

ในสนามแข่ง 300SL วิ่งเข้าเส้นชัยในอันดับ 2 และ 4 ในรายการเอนดูลานซ์ระยะไกลสุดอันตราย นั่นก็คือ รายการแข่งรถกึ่งแรลลี่ Mille Miglia ที่อิตาลี หลังจากนั้น ทีมแข่ง Mercedes-Benz คว้าชัยชนะถึง 3 ครั้ง ในรายการ Prix de Berne และคว้าชัยชนะ 2 ครั้ง ในรายการ Le Mans 24hrs วิ่งเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 1 ถึง 4 ครั้ง ในรายการ Nürburgring Anniversary Sport Car GP และคว้าชัยชนะ 2 ครั้งในรายการ Carrera Panamericana ในเม็กซิโก นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีของ SL

300 SLR ถือเป็น SL คันแรกของ Mercedes และด้วยรูปลักษณ์ที่งดงาม 300 SLR ยังคงมีความสำคัญอย่างมาก ไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับรถสปอร์ตขนาดเล็กที่ใช้บนท้องถนนได้อย่างถูกกฏหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำ Mercedes-Benz กลับมาสู่การแข่งรถอีกครั้ง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านพ้นไปและเยอรมัน เริ่มลืมตาอ้าปากได้... 

Max Hoffman เจ้าของบริษัทฯ ผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการของ Mercedes-Benz ในสหรัฐอเมริกา มองเห็นหนทางที่จะทำให้ธุรกิจขายรถมีกำไรมากกว่าเดิม Hoffman ได้ให้คำแนะนำกับผู้บริหารระดับสูงของแบรนด์ตราดาวว่า หากสร้าง 300 SL เวอร์ชันถนน รถรุ่นนี้จะต้องได้รับความนิยมอย่างแน่นอนเนื่องจากชัยชนะในสนามแข่งอย่างนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าพวกเยอรมันก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยกับโครงการสร้างรถที่จะทำกำไรให้กับบริษัท ในปี 1954 ที่งานแสดงรถยนต์นิวยอร์กออโต้โชว์ SL ที่ถูกนำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกบนแผ่นดินอเมริกา ได้แก่ 300 SL Gullwing Coupe และ 190 SL Roadster

แน่นอนว่า Gullwing คือ "ซูเปอร์คาร์" คันแรกของโลก เป็นรถในสายการผลิตที่เร็วที่สุดในสมัยนั้น มีเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร ประตูปีกนกนางนวลที่สวยงาม รูปลักษณ์สุดเซ็กซี่ ทำให้รถรุ่นนี้ยังคงเป็นรถเบนซ์ที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งๆที่ผ่านกาลเวลามา 70 ปี 

Mercedes-Benz 190 SL (W121) - 1954
หลังจากนั้น SL อีกรุ่นก็ตามออกมา นั่นก็คือ Mercedes-Benz 190 SL โรดสเตอร์คันเล็กรุ่นแรกสุดนี้เปิดตัวครั้งแรกที่งานนิวยอร์กออโต้โชว์ ในปี 1954 เป้าหมายในการทำตลาดด้วยราคาที่ไม่แรงจนเกินไป ทำให้ 190 SL ไม่มีเครื่องยนต์ของ Gullwing ซึ่งเป็นเครื่องเบนซิน 6 สูบเรียง 215 แรงม้า 190 SL เลือกใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 1.9 ลิตร กำลัง 105 แรงม้า แม้จะมีกำลังไม่มาก แต่รูปลักษณ์และความสง่างามของรถตราดาวรุ่นเปิดประทุนคันนี้ กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว 

Mercedes-Benz 300 SL Roadster (W198 II) - 1957
อีกสามปีต่อมา Mercedes-Benz สร้างรถเปิดประทุนสุดสวย รุ่น 300 SL Roadster ออกมาเสียบแทนที่รุ่น Gullwing ซึ่งอยู่ในไลน์ผลิตได้เพียง 3 ปี 300 SL Roadster (W198 II) ยังคงใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง 3.0 ลิตรเหมือนกับ Gullwing แต่โรสเตอร์รุ่นนี้ มีกำลังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (225 แรงม้า) ความลับก็คือ Mercedes-Benz ประกอบรถสปอร์ตเปิดประทุนรุ่น 190 และ 300 SL ร่วมกันเพื่อความสะดวกในการอัพไลน์ผลิต

Mercedes-Benz SL (W113) - 1963
ในปี 1963 SL ได้รับการเปลี่ยนโฉมใหม่ ด้วยรหัสตัวถัง W113 พร้อมด้วยดีไซน์ใหม่ที่ออกแบบโดย Paul Bracq ไฟหน้าตั้งตรงแบบตาตั๊กแตน ไฟท้ายเรียวบางและเล็ก ส่วนท้ายที่เล็กลง เครื่องยนต์แบบแถวเรียง 6 สูบของ SL W113 มีให้เลือกตั้งแต่ 2.3 ลิตร ไปจนถึง 2.8 ลิตร ใน 280 SL หลังคาแข็งแบบถอดได้ ทรงของหลังคาฮาร์ทท็อปที่ถอดได้ ดูเหมือนหลังคาของวัดในเอเชียตะวันออก ตามความเห็นของเซียนรถช่างสังเกตในสมัยนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อเล่นที่ SL W113 ได้รับ นั่นก็คือ คันนี้ได้รับ นั่นคือ Pagoda Top

ย้อนกลับมาที่พระเอกของเรา 300 SL Roadster ในยุคท้ายๆ ติดตั้งดิสก์เบรกสี่ล้อ ซึ่งกลายมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในช่วงกลางปี 1961 ที่สำคัญก็คือ เครื่องยนต์อะลูมิเนียมอัลลอยด์ ซึ่งมีจำหน่ายตั้งแต่ปี 1962 ถึงปี 1963 มีเพียง 209 คันสุดท้ายเท่านั้นที่มีบล็อกอัลลอยด์และดิสก์เบรกแบบนี้ นี่เป็นเพียงหนึ่งใน 300 SL Roadster ประมาณ 100 คัน ที่ยังคงเครื่องยนต์อะลูมิเนียมแบบดั้งเดิมไว้ นอกจากนี้ ยังมีตราประทับโรงงานดั้งเดิมบนแชสซีและตัวรถอีกด้วย

ปัจจัยหลายประการทำให้ 300 SL Roadster ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ก็คือความสะดวกของรถที่ไม่ทารุณแผ่นหลังและก้นกบของมหาเศรษฐีมากจนเกินไป ขับง่ายกว่า มีความทันสมัยมากกว่าในหลายจุด และไม่มีจุดบอดด้านการมองเหมือน Gullwing นอกจากนี้ ยังไม่ทำให้ผู้โดยสารร้อนอบอ้าวในห้องโดยสารยุคก่อนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวของฤดูร้อน (เครื่องปรับอากาศสมัยใหม่สามารถดัดแปลงใส่ใน 300 SL Roadster ได้)

จริงๆแล้ว Gullwing เป็นรถแข่งที่ Mercedes-Benz ตัดสินใจขายให้กับสาธารณชนคนมีเงินในยุคนั้นซึ่งมีอยู่แค่หยิบมือเดียว เป็นรถสปอร์ตที่ให้ฟิลลิ่งเหมือนกับรถแข่งในยุค 1950 ด้วยไดนามิกที่ปราศจากการปรุงแต่ง ระบบส่งกำลังของ Gullwing ขึ้นชื่อว่าชอบส่งเสียงดัง ด้านท้ายของรถที่ค่อนข้างไว ซึ่งมักจะเปลี่ยนแปลงวิธีการเข้าและออกจากโค้งของเจ้าของไปเลย แต่ไม่ค่อยมีใครเอาไปขับเร็วๆในสนามนอกจากนักเลงรถโบราณเงินหนาที่ซื้อไปอัดในกู๊ดวูด  การขึ้นและลงจาก Gullwing นั้นไม่มีความสะดวกสบาย โดยเฉพาะเจ้าของรถสูงวัย เปรียบเทียบกับรุ่นเปิดประทุนแล้ว 300 SL Roadster เข้า-ออกได้ง่ายกว่ามาก

ตามความคิดเห็นส่วนตัว 300 SL Roadster ถูกสร้างขึ้นเป็น Gullwing เวอร์ชันไร้หลังคาที่เน้นความสบายเอาใจเศรษฐีสูงวัย ด้วยการออกแบบให้ขับง่ายกว่า มีน้ำหนักมากกว่า และมีแชสซีส์ที่แตกต่างออกไป โดยมีกำลังมากกว่า Gullwing เล็กน้อย ซึ่งชดเชยกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากการดามช่วงกลางของแชสซีให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อป้องกันการบิดตัว

ภายในของ Mercedes-Benz 300 SL Roadster ที่ได้รับการบูรณะใหม่ ในความเป็นจริงบนโลกของ Classic Car ทั้ง 300 SL Gullwing Coupé และ 300 SL Roadster ครองความเป็นเจ้าในด้านความนิยม นักสะสมที่ชอบเก็งกำไรมองว่า การครอบครอง 300 SL Gullwing Coupé และ 300 SL Roadster เป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนน่าพึงพอใจ เมื่อลองเปรียบกับ Ferrari Classic เพื่อ เทียบความนิยมและคุณค่า 300 SL จะ แตกต่างจากรถยนต์หลายรุ่นในยุคนั้น มันเป็นรถสปอร์ตเยอรมันที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเสถียร ไม่พังง่ายหากซ่อมบำรุงมาดีพอ เจ้าของรถไม่จำเป็นต้องทำอะไรนอกจากเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและเอาออกไปขับบ้างเป็นครั้งคราวก็พอ 

ในโลกแห่งรถคลาสสิค มูลค่าของ Ferrari วินเทจมักจะลดลงไปตามสภาวะของการเปลี่ยนแปลง แต่การเล่น Mercedes Classic เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งยังมีช่องทางอีกมากให้ค้นหา ปัจจุบัน ช่องว่างระหว่างมูลค่าของ 300 SL Gullwing กับ 300 SL Roadster อาจสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เกิดจากการนำ Gullwing คุณภาพระดับ 5 ดาว ไปสู่เวทีประกวด แต่ 300 SL กับความหายากนั้นคือที่สุด โดยทั่วไปแล้วเจ้าของจะบูรณะใหม่ทั้งหมดด้วยน็อตและสลักเกลียวทุกตัวที่ใหม่เอี่ยม เมื่อค่าแรงงานและวัสดุพวกชิ้นส่วนอะไหล่สูงขึ้น ราคาของรถที่มีสภาพดีก็สูงขึ้นตามไปด้วย รถที่ดีที่ไม่เป็นสนิมหรือไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ เป็นโครงการบูรณะสภาพที่ต้องใช้งบประมาณ 750,000 ถึง 800,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 26 ล้านบาท!! (ราคาในอเมริกา) 

ต่างจากรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในยุคนั้น 300 SL เปิดประทุนสองที่นั่ง ขึ้นชื่อในเรื่องความงามหยดย้อย ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าราคาจะทะลุ 2 ล้านดอลลาร์ไปไกล (67 ล้านบาท ++ ยังไม่รวมภาษีนำเข้า) อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับ 300 SL Roadster สภาพขึ้นหิ้งอย่างคันนี้ จากหลักฐานในวงการรถยนต์คลาสสิคพบว่า มีเศรษฐีในอเมริกาเคยเสนอราคา 2.6 ล้านดอลลาร์เพื่อสอย 300 SL Roadster สภาพเฉียด 100% ในงานประมูลมาแล้ว!

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th 
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom 
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/