แบตเตอรี่ในรถยนต์ เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในอันดับต้นๆ ของการขับใช้งานรถยนต์ แบตเตอรี่ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องยนต์ ระบบไฟส่องสว่างและระบบต่างๆ ที่ต้องการกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงเพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ต ระบบจุดระเบิด ในขณะที่ทำการสตาร์ตเครื่องยนต์ หากไฟในแบตฯ ไม่พอ จะไม่สามารถสตาร์ตเครื่องยนต์ให้ติดได้เลย
นอกจากนี้ แบตเตอรี่ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆ อย่าง เช่น ระบบปรับอากาศ ที่มีการใช้กระแสไฟฟ้าป้อนให้กับมอเตอร์ของพัดลมระบายความร้อน และพัดลมแอร์ในห้องโดยสาร ไฟส่องสว่างทั้งไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟท้าย ไฟเบรก รวมถึงไฟภายในห้องโดยสาร หน้าที่ของแบตเตอรี่คือเก็บไฟฟ้าสำรองที่ได้รับจากการหมุนของไดชาร์จ เมื่อไดชาร์จซึ่งเป็นอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า ไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทัน เช่น การขับขี่ในตอนกลางคืนที่ต้องใช้ไฟมากกว่าปกติ ไฟส่องสว่างรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ จะดึงกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มาใช้
...
รถยนต์สันดาปยุคใหม่ มีระบบที่ต้องการกระแสไฟไปหล่อเลี้ยงเกือบจะทุกจุด กระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอยู่ในอันดับต้นๆของการใช้รถ เรารู้กันดีว่าแบตเตอรี่ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง รวมถึงระบบต่างๆ ที่ต้องการกระแสไฟฟ้าเพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ต ระบบจุดระเบิด เซนเซอร์ กล้อง ระบบความปลอดภัยและสมองกลที่ใช้สั่งงาน โดยเฉพาะการสตาร์ทที่ต้องการไฟไปหมุนไดสตาร์ท ในขณะที่ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ หากไฟในแบตฯ ไม่พอ จะไม่สามารถสตาร์เครื่องให้ติดได้เลย แบตเตอรี่รถยนต์ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆ อย่าง เช่น ระบบปรับอากาศ ซึ่งมีการใช้กระแสไฟฟ้าป้อนให้กับมอเตอร์ของพัดลม ไฟส่องสว่างทั้งไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟท้าย ไฟเบรก รวมถึงไฟภายในห้องโดยสาร บวกกับอีกสารพัดอุปกรณ์ในรถนับไม่ถ้วนที่ต้องการกระแสไฟไปหล่อเลี้ยง
ไดชาร์จหากอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เมื่อแบตฯ อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไดชาร์จก็จะทำงานได้ดีขึ้นหรือหมุนเร็วขึ้น มีกระแสไฟฟ้าซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานของไดชาร์จเหลือจากการใช้งาน กระแสไฟดังกล่าวจะถูกส่งกลับเข้าไปยังแหล่งเก็บไฟฟ้าสำรองหรือแบตเตอรี่จนกว่าจะเต็ม แบตเตอรี่จะจ่ายไฟออกอย่างเดียวเฉพาะตอนสตาร์ตเครื่องยนต์เท่านั้น เพื่อส่งกระแสไฟเข้าสู่มอเตอร์สตาร์ต และระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ตติด และเครื่องยนต์เริ่มต้นการทำงานแล้ว ไดชาร์จก็จะทำหน้าที่ประจุไฟเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง เป็นวงจรการทำงานปกติของรถยนต์ โดยกระแสไฟฟ้าจะถูกจ่ายออกไปจากแบตฯ และถูกประจุเพิ่มหมุนเวียนเข้าออกแบตเตอรี่อยู่เสมอ
เมื่อแบตเตอรี่ในรถของคุณเกิดไฟหมด ซึ่งเกิดจาก 2 สาเหตุหลักก็คือ
1. แบตเตอรี่อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเก็บไฟได้อีกต่อไป หรือหมดอายุการใช้งาน
2. ไดชาร์จทำงานผิดปกติ เสียหรือทำงานบกพร่อง ทำให้ประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน หรือไดชาร์จพังจนไม่สามารถประจุไฟเข้าแบตฯ ได้เลย
...
แบตเตอรี่รถยนต์มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
1. แบตเตอรี่แบบแห้ง
เป็นแบตฯ ที่มีราคาสูงกว่าแบตฯ แบบต้องเติมน้ำกลั่น ไม่ต้องการดูแลรักษา เรียกว่ายกเข้ามาใส่จนกว่าจะพังกันไปข้างหนึ่ง เนื่องจากไม่ต้องเติมน้ำกลั่น แบตฯ ชนิดแห้งจึงมีความทนทานและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า รวมถึงราคาที่สูงกว่าแบตฯ แบบต้องเติมน้ำกลั่นอยู่พอสมควร แบตเตอรี่แบบแห้ง มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตฯ แบบอื่น อายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 5-10 ปี หรืออาจน้อยกว่านั้นเนื่องจากประเทศไทยมีอากาศที่ร้อนชื้น แบตเตอรี่แบบแห้งไม่มีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น ตัวแบตเตอรี่ถูกซีลทับทั้งลูก แต่บางยี่ห้อมีช่องไว้สำหรับไว้คอยตรวจเช็กระดับน้ำกรด และระดับไฟที่กักเก็บอยู่ภายใน
...
2. แบตเตอรี่แบบต้องเติมน้ำกลั่นหรือแบตเตอรี่แบบเปียก
เป็นแบตฯ ที่รถยนต์ส่วนใหญ่นิยมใช้ เนื่องจากมีราคาถูกกว่าแบตฯ แบบแห้ง แบตฯที่ต้องตรวจเช็กระดับน้ำกลั่น แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบที่ต้องเติม และดูแลน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง กับแบบไม่ต้องดูแลบ่อย (Maintenance Free) ซึ่งจะกินน้ำกลั่นน้อยมาก
โดยทั้ง 2 แบบนี้ จะมีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น ในแบบแรกนี้จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 1.5-2 ปี แต่ไม่ควรเกิน 3 ปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการดูแลรักษา ถ้ามีการดูแลรักษาอยู่สม่ำเสมอ ก็จะทำให้แบตฯ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น อย่างไรก็ดีเมื่อแบตฯ เกิดหมดอายุการใช้งาน ก็สมควรที่จะต้องควักเงินเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย สำหรับแบตเตอรี่แบบเปียกนั้นมีอายุการใช้งานไม่เกิน 3 ปี
...
การเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ เมื่อรถของคุณไม่ได้พ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้าพวกเครื่องเสียง 5000 วัตต์ หรือยัดระบบไฟส่องสว่างพวกสปอตไลต์ จนกินกระแสไฟมากกว่าปกติ หากไม่มีอุปกรณ์ที่กินกระแสไฟดังกล่าว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์ให้สูงขึ้นแต่อย่างใดทั้งสิ้น
รถยนต์ทั่วไปในปัจจุบัน มีการคำนวณขนาดของแบตเตอรี่ ที่มีความเหมาะสมกับความต้องการมาจากโรงานแล้ว การเปลี่ยนแบตฯ ที่มีแอมป์สูงมากกว่าเดิม ทำให้คุณเสียเงินโดยใช่เหตุ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ มีการพัฒนาและทดสอบอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะปล่อยรถรุ่นใหม่ออกวางขาย โดยขั้นตอนของการทดสอบนั้น จะมีการเลือกขนาดของแบตเตอรี่ที่จะใช้ติดตั้งในรถ โดยเลือกขนาดของแบตฯ และความจุให้เหมาะสมกับความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าของรถรุ่นนั้นๆ อยู่แล้ว แต่หากมีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่นเครื่องเสียงพลังสูงที่กินกระแสไฟมากกว่าปกติ ส่วนใหญ่เจ้าของรถเหล่านั้นรู้ดีว่าแบตเตอรี่เดิมๆ นั้นไม่เพียงพอต่อการใช้งานอย่างแน่นอน จึงทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้น
ข้อควรระวังของรถยนต์ที่เปลี่ยนขนาดของแบตฯ ใหญ่ขึ้น
แบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์นั้นมีขนาดที่ใหญ่โตตามความจุ ฐานของแบตเตอรี่เดิมติดรถ จึงไม่สามารถรองรับขนาดของแบตฯ ที่ใหญ่ราวกับแบตฯ รถบรรทุกได้ กลายเป็นปัญหาที่ต้องย้ายหรือระเบิดจุดวางแบตฯ กันใหม่ ซึ่งตามมาด้วยเรื่องปวดหัวอีกพอสมควร ข้อควรระวังในการเปลี่ยนแบตฯ ใหม่ก็คือ ห้ามลดขนาดของแอมป์เด็ดขาด เช่น แบตฯ เดิมจากโรงงานมีความจุ 65 แอมป์ แต่นำเอาแบตฯ ใหม่ที่มีความจุเพียงแค่ 45 แอมป์มาลงแทน ใช้งานไปได้ไม่นานแบตฯ ก็จะเกิดปัญหาในเรื่องไฟไม่พอตามมาให้รำคาญกันอีก ส่วนการเพิ่มขนาดความจุของแบตฯ สำหรับรองรับเครื่องเสียงกำลังขยายมากๆ หรือติดอุปกรณ์ไฟเพิ่มรกรุงรังทั้งคันนั้น สามารถขยายความจุของแบตฯ เพิ่มขึ้นอีก 10-30 แอมป์ได้เลย แต่ควรเตรียมหาที่หาทางให้แบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นด้วยก็แล้วกัน
วิธีตรวจเช็กแบตฯ
แบตเตอรี่ใกล้เสื่อมสภาพจะมีสัญญาณเตือนดังนี้
1. เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ตติดยาก
2. ไฟหน้าไม่ค่อยสว่าง
3. ระบบกระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง
4. ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปกติ
เมื่อมีสัญญาณเตือนดังนี้ ก็เข้าร้านที่ไว้ใจได้ เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เลยครับ บางครั้ง หากมีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์เพิ่ม แบตเตอรี่ก็ควรถูกปรับเปลี่ยนความจุให้มีมากขึ้นด้วย ซึ่งหากมีการติดตั้งแบตเตอรี่ใหม่ในยานพาหนะ ควรปฏิบัติดังนี้
1. สังเกตว่าแบตเตอรี่ใหม่ ซึ่งจะใช้ติดรถอยู่ในสภาพไฟเต็ม
2. ควรบันทึกวันที่เริ่มใช้แบตเตอรี่ใหม่ไว้เพื่อการตรวจสอบสภาพ เป็นช่วงๆ ร้านแบตเตอรี่หรือร้านไดนาโมบางร้าน ส่วนใหญ่เมื่อเปลี่ยนแบตฯ ลูกใหม่ให้กับลูกค้าใช้วิธีการตอกตัวเลขวันเดือนปีที่เริ่มใช้แบตฯ ลงไปบนตัวแบตเตอรี่เลยทีเดียว
3. ยึดแบตเตอรี่และแท่นวางแบตเตอรี่ให้แน่น ไม่เคลื่อนไหว
4. ถ้าแบตเตอรี่มีท่อยาวระบายอากาศ อย่าให้ท่อระบายอากาศถูกกดทับเพราะอาจทำให้แบตเตอรี่ระเบิดได้
5. ใส่ขั้วไฟก่อน (อาจเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบก็แล้วแต่ชนิดของรถ) ก่อนใส่ควรขยายขั้วสวมให้โตกว่าขั้วแบตเตอรี่เล็กน้อย ห้ามตอกขั้วต่ออัดลงไปเพราะจะทำให้ขั้วแบตเตอรี่ทรุดตัว แบตเตอรี่อาจเสียหายได้
6. เมื่อต่อขั้วเรียบร้อย ทาหัวขั้วแบตฯ ทั้งบวกและลบด้วยจาระบีเพื่อป้องกันคราบขี้เกลือ
7. ต่อขั้วดินเป็นอันดับสุดท้าย
วิธีการถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ เพื่อยืดอายุการใช้งาน
1. ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่เสมอ อย่าให้มีรอยแตกร้าว เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ไม่เก็บประจุไฟฟ้า
2. ดูแลขั้วแบตเตอรี่ให้สะอาดเสมอ ถ้ามีคราบเกลือเกิดขึ้น ให้ทำความสะอาดโดยใช้น้ำร้อนราดลงไปบนคราบขี้เกลือ
3. ตรวจสภาพของระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ทุกๆ 1 สัปดาห์
4. ตรวจเช็กระบบไฟชาร์จของอัลเตอร์เนเตอร์ ว่าระบบไฟชาร์จต่ำหรือสูงไป ถ้าต่ำไป จะมีผลทำให้กำลังไฟไม่พอใช้ในขณะสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือถ้าสูงไปจะทำให้น้ำกรดและน้ำกลั่นอยู่ภายในระเหยเร็วหรือเดือดเร็วได้ ในช่วงเวลาเดียวกัน
5. ช่วงที่มีอากาศหนาวหรืออุณหภูมิต่ำ ประสิทธิภาพการแพร่กระจาย ของน้ำกรด และน้ำกลั่นจะด้อยลง เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟมากๆ ขณะอากาศเย็น
6. ควรศึกษาถึงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่และไดชาร์จ เพื่อที่จะให้วงจรการไหลของไฟฟ้าเป็นไปด้วยดี
7. ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ตามระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมต่ำหรือสูงเกินไป (เติมสูงไป เป็นสาเหตุหลักทำให้ขี้เกลือขึ้นเร็ว แบตฯ สกปรกเร็ว)
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/