- คำสั่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมดในอัตรา 25%ในเดือนหน้า ปลุกกระแสความกังวลว่าจะยิ่งทำให้สงครามการค้ารุนแรงขึ้น และย่อมส่งผลกระทบต่อหลายส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- คำสั่งดังกล่าวยังรวมถึงการยกเลิกข้อยกเว้นสำหรับสินค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น แคนาดา, เม็กซิโก, บราซิล และสหภาพยุโรป ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ต่างออกมาประณามการตัดสินใจของทรัมป์อย่างเผ็ดร้อน
- แม้ว่าคำสั่งนี้จะทำให้สหรัฐฯได้ประโยชน์จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมในหลายภาคส่วนที่ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะรวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ อาหารและเครื่องดื่มกระป๋องรวมไปถึงการก่อสร้างในสหรัฐฯอีกด้วย
หลังจากที่ทรัมป์ได้ลงนามในประกาศที่จะปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมของสหรัฐฯเป็น 25% จากเดิม 10% พร้อมทั้งยกเลิกข้อยกเว้นและข้อตกลงโควตาของประเทศคู่ค้าสำคัญเช่น แคนาดา, เม็กซิโก, บราซิล และสหภาพยุโรป ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนหน้า สิ่งที่ตามมาอย่างแน่นอนก็คือ ธุรกิจของสหรัฐฯ ที่ต้องการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจะต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น
ตามข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งอเมริกา การนำเข้าเหล็กคิดเป็นประมาณ 23% ของการบริโภคเหล็กกล้าของอเมริกาในปี 2023 โดยแคนาดา บราซิล และเม็กซิโกเป็นซัพพลายเออร์ที่ใหญ่ที่สุด เฉพาะแคนาดาก็คิดเป็นเกือบ 80% ของการนำเข้าอะลูมิเนียมหลักของสหรัฐฯ ในปี 2024
เมื่อมีการปรับขึ้นราคา ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในสหรัฐฯ อาจจะผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค ผ่านการปรับราคาสินค้าต่างๆ ให้สูงขึ้น เนื่องจากเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตสินค้าหลายประเภทดังต่อไปนี้
...
อาหารกระป๋อง เบียร์ และน้ำอัดลม
ตามข้อมูลจากสถาบันอุตสาหกรรมผู้ผลิตกระป๋อง Can Manufacturers Institute (CMI) ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนของอุตสาหกรรมผู้ผลิตกระป๋องระบุว่า อุตสาหกรรมกระป๋อง ของสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าเหล็กเป็นอย่างมาก โดย 70% ของเหล็กที่ใช้ในการผลิตกระป๋องอาหารในประเทศ ถูกนำเข้ามาจากประเทศต่างๆ เช่น เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์ และแคนาดา
ในปี 2018 เมื่อทรัมป์สั่งเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก บริษัทผู้ผลิตกระป๋องจำนวนมากได้รับข้อยกเว้นจากภาษีดังกล่าว เนื่องจาก ปริมาณเหล็กที่ใช้ในการผลิตกระป๋องในสหรัฐฯ มีจำกัด แต่ภายหลัง โรงงานผลิตเหล็กในประเทศได้ลดกำลังการผลิตลงไปอีก ส่งผลให้ราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับผู้ผลิตกระป๋อง องค์กร CMI ได้ส่งจดหมายถึงรัฐบาลของทรัมป์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยมีบริษัทอาหารรายใหญ่ เช่น General Mills, Del Monte และ Goya ลงนามในจดหมายเพื่อเรียกร้องให้มีข้อยกเว้นทางภาษี
โรเบิร์ต บัดเวย์ ประธาน CMI กล่าวว่า หากไม่มีข้อยกเว้นทางภาษีสำหรับผู้ผลิตกระป๋อง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอาหารกระป๋องที่ผลิตในสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มสูงขึ้น และแม้ว่าประธานาธิบดีอาจคิดว่าภาษีเหล่านี้เป็นการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็ก แต่แท้จริงแล้วมันกำลังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและเสถียรภาพของอุปทานอาหารกระป๋องที่ชาวอเมริกันต้องพึ่งพาในทุกๆ วัน สำหรับอะลูมิเนียม
ด้านบริษัทผลิตเบียร์และเครื่องดื่มอัดลม เช่น Coca-Cola ได้ออกมาเตือนว่ามาตรการนี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และอาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามไปด้วย เจมส์ ควินซี ประธานบริหารของ Coca-Cola กล่าวกับนักลงทุนว่า แม้ว่าทางบริษัทจะสามารถปรับตัวและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังต้องรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยืนยันว่า ครั้งนี้จะไม่มีข้อยกเว้นทั้งสำหรับสินค้าแต่ละประเภทหรือสำหรับประเทศใดเป็นพิเศษ
อุตสาหกรรมยานยนต์
เมื่อทรัมป์กำหนดภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในสมัยแรก บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เช่น ฟอร์ด และ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ออกมาเตือนว่ามาตรการนี้อาจเพิ่มต้นทุนของบริษัทสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับผู้บริโภค บริษัทที่ปรึกษา Morningstar คาดการณ์ว่า การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในอดีตทำให้ราคารถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 1% หรือประมาณ 300 ดอลลาร์ต่อคัน เดวิด วิสตัน นักวิเคราะห์จาก Morningstar กล่าวว่า ฟอร์ด อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด
...
ขณะที่ไมเคิล วอลล์ นักวิเคราะห์จาก S&P Mobility กล่าวว่า ตลาดรถยนต์สหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดียวกับปี 2019 ทำให้บริษัทอาจไม่สามารถผลักภาระต้นทุนทั้งหมดไปยังผู้บริโภคได้ แต่ก็เป็นไปได้ที่ราคาจะเพิ่มขึ้นบ้าง นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งอาจมีผลบังคับใช้ในเดือนมีนาคม หากมีการบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ราคารถยนต์อาจเพิ่มขึ้นถึง 3,000 ดอลลาร์ ตามการคาดการณ์ของ TD Economists โดยจิม ฟาร์ลีย์ ซีอีโอของ ฟอร์ด ได้พูดถึงเรื่องนี้ในงานประชุมธุรกิจว่า การเคลื่อนไหวของทรัมป์กำลังก่อให้เกิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความวุ่นวายในอุตสาหกรรมยานยนต์
จักรยาน
เหล็กและอะลูมิเนียมเป็นวัสดุสำคัญในการผลิตจักรยาน ซึ่งทำให้มีโอกาสสูงที่ราคาจักรยานจะเพิ่มขึ้น เมื่อเดือนที่แล้ว องค์กรการค้า People For Bikes ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก รวมถึง 10% สำหรับสินค้าจากจีน
อย่างไรก็ตาม หลังจากประกาศมาตรการนี้ได้เพียงไม่กี่วัน ทรัมป์ได้ชะลอการบังคับใช้ภาษีสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปหนึ่งเดือน แต่ยังคงอยู่ในแผนที่อาจถูกนำมาใช้ในอนาคต
...
การก่อสร้าง ที่อยู่อาศัย และเครื่องใช้ไฟฟ้า
อุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ใช้เหล็กมากที่สุด ตั้งแต่โครงสร้างอาคารไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งคาร์ล แฮร์ริส ประธานสมาคมผู้ก่อสร้างบ้านแห่งชาติ กล่าวว่าการเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ขัดแย้งกับนโยบายของทรัมป์ที่ต้องการทำให้ที่อยู่อาศัยมีราคาถูกลง เขายังเตือนด้วยว่า สุดท้ายแล้ว ผู้บริโภคจะเป็นผู้รับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นในรูปแบบของราคาบ้านที่แพงขึ้น โดยทางสมาคมผู้ก่อสร้างบ้านแห่งชาติเรียกร้องให้รัฐบาล ยกเว้นภาษีสำหรับวัสดุก่อสร้าง
ทั้งนี้ ในปี 2018 ที่ ทรัมป์ได้สั่งเก็บภาษีนำเข้าเหล็กเพิ่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า Whirlpool เปิดเผยว่า ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 350 ล้านดอลลาร์ อันเป็นผลมาจากการขึ้นราคาของเหล็ก ซึ่งทำให้สินค้าราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งบริษัทที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนเหล่านี้ได้ อาจผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคผ่านราคาสินค้าที่แพงขึ้นในร้านค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.
ผู้เขียน : อาจุมมาโอปอล
...
คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ เก็บภาษีเหล็ก