สหรัฐฯ ยืนยัน มาตรการกำแพงภาษีครั้งใหญ่ของเขาจะมีผลบังคับใช้ทันทีที่ประกาศในวันที่ 2 เม.ย.นี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) ท่ามกลางความกังวลว่ามันจะกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก

เมื่อวันอังคารที่ 1 เม.ย. 2568 น.ส.แคโรไลน์ เลวิตต์ เลขาธิการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาวเปิดเผยว่า มาตรการภาษีครั้งใหญ่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า นโยบายการค้าวันปลดปล่อย (Liberation Day) จะถูกประกาศในวันพุธที่ 2 เม.ย.นี้ ในเวลา 16.00 น. ตามเวลาเขตตะวันออก (ET) และมาตรการจะมีผลบังคับใช้ทันทีหลังประกาศ

โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เขาได้ข้อสรุปเรื่องแผนการสำหรับมาตรการภาษีตอบโต้แบบครอบคลุมของเขา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปรับสมดุลความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหุ้นส่วนต่างๆ ใหม่แล้ว ขณะที่ น.ส.เลวิตต์กล่าวว่า เมื่อช่วงบ่ายวันอังคาร นายทรัมป์ได้เข้าร่วมการประชุมกับทีมการค้าของเขา เพื่อหารือกันเรื่องรายละเอียด

แผนการประกาศมาตรการภาษีต่อหุ้นส่วนการค้าทั่วโลกของสหรัฐฯ ในเวลา 16.00 น. วันที่ 2 เม.ย. ของนายทรัมป์ (ตรงกับ 3.00 น. วันที่ 3 เม.ย.ตามเวลาไทย) เป็นหัวใจหลักของความพยายามของเขาในการดึงการผลิตกลับเข้าสู่สหรัฐฯ และเปลี่ยนโฉมระบบการค้าโลกที่เขาร่ำร้องมานานว่าไม่ยุติธรรมกับสหรัฐฯ

น.ส.เลวิตต์แทบไม่ได้พูดถึงเรื่องขนาดหรือขอบเขตของมาตรการภาษีใหม่นี้ แต่ระบุว่า นายทรัมป์ยินดีที่จะรับฟังรัฐบาลต่างประเทศและผู้นำบริษัทต่างๆ ที่ขอให้ลดอัตราภาษี พร้อมยืนยันด้วยว่า หลายประเทศได้ติดต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับแผนการของประธานาธิบดีแล้ว

ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า แผนของนายทรัมป์จะกำหนดอัตราภาษีต่อหุ้นส่วนการค้าของสหรัฐฯ เท่าใด โดยอาจสูงถึง 20% ต่อสินค้านำเข้าทั้งหมด และยังไม่แน่ชัดด้วยว่าจะบังคับใช้กับทุกประเทศหรือแค่บางประเทศ

...

แต่นายมาร์ก แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ “มูดีส์ อนาลีติกส์” สถาบันวิเคราะห์เศรษฐกิจชื่อดังของโลก ระบุว่า หากกำแพงภาษีแบบครอบคลุม 20% มารวมกับมาตรการภาษีตอบโต้ของประเทศต่างๆ อาจทำให้มีคนตกงานในสหรัฐฯ ถึง 5.5 ล้านคน ดันอัตราว่างงานไปที่ 7% และทำให้จีดีพีลดลง 1.7% จนเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง

การประกาศมาตรการภาษีวันปลดปล่อย (Liberation Day) ของนายทรัมป์อาจออกมาได้หลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือการเริ่มบังคับใช้กำแพงภาษีตอบโต้กับประเทศในกลุ่ม “Dirty 15” หรือ 15% ของประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลทางการค้าด้วยมากที่สุดก่อน ซึ่งเป็นแนวคิดที่พูดถึงโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่แล้ว

สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระบุว่าประเทศหรือดินแดนที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษได้แก่ อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, บราซิล, แคนาดา, จีน, สหภาพยุโรป, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, เม็กซิโก, รัสเซีย, ซาอุดีอาระเบีย, แอฟริกาใต้, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน, ไทย, ตุรกี, สหราชอาณาจักร และเวียดนาม

นายทรัมป์กล่าวที่ห้องทำงานรูปไข่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “จำนวนตัวเลข (ภาษี) จะต่ำกว่าที่พวกเขา (ประเทศคู่ค้า) กำลังเก็บเรา และในบางกรณีอาจจะต่ำกว่ามากด้วย”

คำพูดดังกล่าวบอกเป็นนัยว่า นายทรัมป์อาจจะไม่ได้กำหนดอัตราภาษีในระดับสูงแต่จะตั้งกำแพงภาษีแบบครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นอาจหมายถึงสินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านโฆษกหญิงแห่งทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธความกังวลว่าตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก หลังนักลงทุนแห่ขายหุ้นมานานหลายสัปดาห์แล้ว เพราะกังวลว่าภาษีจะดันราคาสินค้าพุ่งสูง แต่ น.ส.เลวิตต์กล่าวว่า “เหมือนที่พวกเขาเป็นตอนสมัยแรก (ของนายทรัมป์) วอลล์สตรีทจะอยู่ได้ไม่มีปัญหา”

เมื่อถูกถามว่ามีโอกาสหรือไม่ที่ที่ปรึกษาของทำเนียบขาวจะคาดการณ์ผลกระทบจากมาตรการภาษีผิดจนสุดท้ายส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่ง น.ส.เลวิตต์ ปฏิเสธความเป็นไปได้ดังกล่าวโดยระบุว่า “พวกเขาจะไม่ผิดพลาด มันจะได้ผล ท่านประธานาธิบดีมีทีมที่ปรึกษาอันยอดเยี่ยม ซึ่งศึกษาปัญหาเหล่านี้มาหลายทศวรรษแล้ว”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : yahoocnnbbc