ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งแรง 1 วันหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกำแพงภาษีใหม่ต่อสินค้านำเข้าทั้งหมด ขณะที่จีนกับสหภาพยุโรปยืนยันจะตอบโต้อย่างแน่นอน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ดัชนีหุ้น เอสแอนด์พี 500 สหรัฐฯ ดิ่งลง 4.8% มูลค่าหายไปร่วม 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวันพฤหัสบดีที่ 3 เม.ย. 2568 ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ทำลายเศรษฐกิจในปี 2563 ขณะที่ดาวโจนส์ปิดตลาดลดลงราว 4% ส่วนแนสแด็กร่วง 6%

ตลาดหุ้นในเอเชียและยุโรปต่างก็ลดลง จากความกังวลเรื่องผลกระทบจากมาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรลดลง 1.5%

ในวันพฤหัสบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ปฏิเสธความกังวลเรื่องความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นโดยยืนยันว่า “ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดีมาก มันเหมือนกับการที่คนไข้รับการผ่าตัด และนั่นเป็นเรื่องใหญ่ ผมกำลังบอกว่านี่แหละคือวิถีที่มันควรจะเป็น ตลาดจะบูม หุ้นจะบูม ประเทศนี้จะบูม” นายทรัมป์บอกด้วยว่า เขาเปิดกว้างที่จะเจรจากับหุ้นส่วนการค้าเรื่องกำแพงภาษี

ทั้งนี้ เมื่อวันพุธที่ 2 เม.ย. 2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการเก็บ "ภาษีพื้นฐาน" (baseline tariff) ในอัตรา 10% ต่อสินค้าทั้งหมดจากทุกประเทศที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ และจะเก็บ "ภาษีต่างตอบแทน" (reciprocal tariff) ต่อหลายสิบประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลทางการค้าด้วยมากที่สุด ในอัตราแตกต่างกันไป

จีนเผชิญภาษีต่างตอบแทนถึง 34% และเมื่อรวมกับมาตรการภาษีที่นายทรัมป์บังคับใช้ก่อนหน้านี้ หมายความว่าสินค้าจีนที่เข้าสู่สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกำแพงภาษีสูงถึง 54% ขณะที่สหภาพยุโรปโดนภาษีต่างตอบแทน 20% ซึ่งทั้งจีนและ EU ต่างออกมาประกาศว่าพวกเขาจะมีมาตรการตอบโต้

แคนาดารอดจากการเก็บภาษีต่างตอบแทน สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้าของพวกเขาไปก่อนแล้วในเดือนมีนาคม ที่อัตรา 25% และล่าสุด นายมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาก็ประกาศจะตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการตั้งกำแพงภาษีรถยนต์ที่นำเข้ามาจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25%

...

ตอนนี้บริษัทต่างๆ ต้องเลือกว่า จะกล้ำกลืนผลกระทบจากกำแพงภาษี, ร่วมมือกับหุ้นส่วนเพื่อแบ่งเบาภาระ หรือผลักภาระไปให้ลูกค้า ซึ่งเสี่ยงทำให้ยอดขายตก และอาจส่งผลกระทบใหญ่หลวง เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ คิดเป็น 10-15% ของเศรษฐกิจโลก

เมื่อวันพฤหัสบดี บริษัท “สแตนแลนติส” ผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อ จี๊ป, เฟียต และแบรนด์อื่นๆ ต้องหยุดการผลิตที่โรงงานในเมืองโตลุกา เม็กซิโก และเมืองวินด์เซอร์ ของแคนาดา ชั่วคราว กระทบลูกจ้างหลายพันคน หลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีรถยนต์ทุกคันที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ 25%

หุ้นของบริษัท ไนกี้ ซึ่งผลิตสินค้าของพวกเขาในเอเชีย เป็นหนึ่งในหุ้นของเอสแอนด์พี 500 ที่ร่วงหนักที่สุดที่ 14% ส่วน แอปเปิล ซึ่งพึ่งพาตลาดจีนและไต้หวันอย่างหนักลดลง 9% และบริษัทผู้ค้าปลีกอย่าง ทาร์เก็ต (Target) หุ้นก็ร่วงถึง 10%

ผู้ผลิตจักรยานยนต์ชื่อดังอย่าง ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่จะถูกสหภาพยุโรปตั้งกำแพงภาษีเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ หุ้นตก 10% ส่วนหุ้นอื่นๆ ในยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มอุปกรณ์กีฬาอย่าง อาดิดาส ร่วงมากกว่า 10% คู่แข่งอย่างพูมา ลดลงมากกว่า 9% เนื่องจากประเทศที่ผลิตสินค้าของพวกเขาผลิต โดนกำแพงภาษีอัตราสูงมาก

ด้านบริษัทสินค้าหรูหราอย่าง แพนดอรา ผู้ผลิตอัญมณีรายใหญ่ หุ้นตกกว่า 10% ขณะที่ หลุยส์ วิตตอง (LVMH) หุ้นร่วงมากกว่า 3% หลังสหภาพยุโรปกับสวิตเซอร์แลนด์ถูกสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษี

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc