สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เริ่มการเยือนมาเลเซียแล้ว เตรียมหารือกษัตริย์อิบราฮิม กับนายกฯ มาเลเซีย เรื่องความร่วมมือท่ามกลางกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แห่งประเทศจีน เริ่มการเดินทางเยือนประเทศมาเลเซียแล้ว เมื่อวันอังคารที่ 15 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา ท่ามกลางการจับจ้องจากทั่วโลก เนื่องจากจีนกำลังต่อสู้ในสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งมีทีท่าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่อัตรา 145% จนทำให้ฝ่ายจีนตั้งกำแพงภาษีตอบโต้ที่ 125% เมื่อสัปดาห์ก่อน นายสี จิ้นผิง ก็เริ่มการทัวร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อผลักดันให้จีนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มั่นคงกว่า สำหรับประเทศที่กำลังเผชิญมาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์
ผู้นำจีนเดินทางถึงสนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันอังคาร โดยมีนาย อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียรอต้อนรับ โดยนายสีมีกำหนดการร่วมงานเลี้ยงรับรองที่พระราชวังหลวงในช่วงเช้าวันพุธ ก่อนจะเริ่มการหารือกับนายอันวาร์ ที่กรุงปุตราจายา อันเป็นศูนย์กลางการปกครองแห่งใหม่ของมาเลเซีย
กระทรวงต่างประเทศมาเลเซียเผยว่า นายสีกับนายอันวาร์เป็นสักขีพยานการลงนามข้อตกลงระดับทวิภาคีหลายฉบับ
ขณะที่นายสี จิ้นผิง บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เขาตั้งตารอที่จะสานสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนกับมาเลเซียให้ลึกล้ำขึ้นไปอีก และเขาจะมีการแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกในการหารือกับสมเด็จพระราชาธิบดี สุลต่าน อิบราฮิม และนายอันวาร์ ในวันพุธนี้ ซึ่ง “ด้วยความพยายามร่วมกันของทั้งสองฝ่าย การเยือนครั้งนี้จะบรรลุผลลัพธ์มากมายแน่นอน”
นอกจากนั้น นายสียังระบุในบทความของหนังสือพิมพ์ “เดอะ สตาร์” ของมาเลเซีย ด้วยว่า “จีนจะทำงานร่วมกับมาเลเซีย เพื่อต่อสู้กับความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์โลกและการเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธ รวมถึงทวนกระแสแนวคิดเอกภาคนิยม (unilateralism) และการคุ้มครองทางการค้า (protectionism)”
...
“เราต้องค้ำจุนระบบกับระเบียบระหว่างประเทศที่มีสหประชาชาติเป็นศูนย์กลาง และส่งเสริมการบริหารโลกอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมมากขึ้น”
อนึ่ง การเยือนเวียดนามของนายสีก่อนหน้านี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อเขาระบุในแถลงการณ์ร่วมว่าทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันต่อต้านนโยบายการใช้อิทธิพลครอบงำ และจะร่วมกันต่อต้านลัทธิเอกภาคนิยมในทุกรูปแบบ ทั้งสองประเทศยังตกลงที่จะรักษาการค้าแบบเปิดกว้าง โปร่งใส และไม่แบ่งแยกโดยมีองค์การการค้าโลกเป็นแกนกลาง
แถลงการณ์ร่วมระหว่างผู้นำจีนกับเวียดนามดังกล่าว ไม่ได้ระบุชื่อของสหรัฐฯ หรือโดนัลด์ ทรัมป์ แต่อย่างใด
นอกจากแถลงการณ์ดังกล่าวแล้ว จีนกับเวียดนามยังลงนามข้อตกลงความร่วมมือถึง 45 ฉบับ รวมถึงความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทาน, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การลาดตระเวนทางทะเลร่วมกัน และการพัฒนาทางรถไฟ
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cna