ทีมนักวิทยาศาสตร์เผยผลการศึกษาใหม่ชี้ว่า แผ่นน้ำแข็งในโลกกำลังเดินหน้าสู่การละลายอย่างควบคุมไม่อยู่ แม้นานาชาติจะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ก็ช่วยอะไรไม่ได้

เมื่อ 20 พ.ค. 2568 นักวิทยาศาสตร์เผยแพร่ผลการศึกษาใหม่ชี้ว่า แผ่นน้ำแข็งในโลกกำลังอยู่บนเส้นทางของการละลายอย่างควบคุมไม่อยู่ ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นหลายฟุต จนนำไปสู่การอพยพครั้งใหญ่ของผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ถึงแม้ว่านานาชาติจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์และรักษาระดับอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ ก็ไม่อาจเลี่ยงชะตากรรมนี้

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์นานาชาติร่วมกันทำการวิจัยเพื่อหาว่า อะไรคือ “ขีดจำกัดปลอดภัย” (safe limit) ที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์กับแอนตาร์กติกาจะสามารถรอดพ้นจากอาการที่ร้อนขึ้น พวกเขาร่วมกันศึกษาโดยอาศัยข้อมูลจากดาวเทียม, โมเดลจำลองสภาพอากาศ และหลักฐานจากอดีต ตั้งแต่แกนน้ำแข็ง, ตะกอนใต้ทะเลลึก และดีเอ็นเอของหมึกยักษ์

และสิ่งที่พวกเขาค้นพบคือภาพอนาคตที่ไม่สู้ดี

นานาประเทศทั่วโลกให้คำมั่นสัญญาร่วมกันว่าจะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นจากยุคก่อนอุตสาหกรรมเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่เป้าหมายนั้นกำลังลอยออกไปไกลเกินเอื้อมอย่างรวดเร็ว โดยตอนนี้โลกกำลังอยู่บนเส้นทางไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิถึง 2.9 องศาภายในปี 2643

แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดที่การศึกษานี้ซึ่งเผยแพร่ผ่านวารสาร Communications Earth and Environment ค้นพบก็คือ การคงอุณหภูมิไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ไม่เพียงพอช่วยแผ่นน้ำแข็งในโลก และต่อให้โลกสามารถรักษาระดับอุณหภูมิในตอนนี้ซึ่งอยู่ที่ +1.2 องศาเอาไว้ได้ แผ่นน้ำแข็งก็จะยังละลายและระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นมากอยู่ดี

...

แผ่นน้ำแข็งที่กรีนแลนด์กับแอนตาร์กติกา มีปริมาณน้ำจืดมากพอทำให้ระดับน้ำทะเลโลกสูงขึ้นถึง 213 ฟุต แต่กรณีดังกล่าวไม่น่าเกิดขึ้นจริงได้

นับตั้งแต่ยุค 90 ปริมาณแผ่นน้ำแข็งที่โลกสูญเสียไปนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า ปัจจุบันโลกเสียแผ่นน้ำแข็งถึง 3.7 แสนล้านตันต่อปี และการละลายของแผ่นน้ำแข็งคือสาเหตุหลักที่ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น โดยที่ระดับน้ำทะเลในตอนนี้สูงกว่าปี 2538 ถึง 102.4 มม.

ผลการศึกษาหลายชิ้นระบุว่า อุณหภูมิ +1.5 องศาเซลเซียสนั้น ร้อนเกินไปมากสำหรับป้องกันไม่ให้แผ่นน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว และโลกควรเตรียมพร้อมสำหรับระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มขึ้นหลายฟุตภายในไม่กี่ศตวรรษที่กำลังจะมาถึง

นอกจากนั้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นยังเป็นภัยคุกคามการดำรงอยู่ของประชากรชายฝั่งทะเล ทั่วโลกมีประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ถึง 1 ม.มาถึง 230 ล้านคน ความเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำแข็งในแผ่นน้ำแข็งเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชุมชนชายฝั่ง และประชาชนหลายร้อยล้านคนอาจต้องอพยพ

นักวิทยาศาสตร์พบด้วยว่า โลกอาจได้เห็นระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นปีละ 0.4 นิ้วภายในช่วงสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นในระดับนี้ (40 นิ้วต่อศตวรรษ) จะทำให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของโลก

อีกเรื่องน่ากังวลที่ทีมนักวิทยาศาสตร์พบคือ ตัวเลขเกณฑ์อุณหภูมิปลอดภัยสำหรับการช่วยชีวิตแผ่นน้ำแข็งในโลกนั้น น้อยลงเรื่อยๆ หลังจากนักวิทยาศาสตร์เข้าใจความเปราะบางที่มีต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมากขึ้น

โมเดลจำลองสภาพอากาศในยุคแรกชี้ว่า อุณหภูมิที่ปลอดภัยไม่ควรเพิ่มเกินจากยุคก่อนอุตสาหกรรมเกิน 3 องศาเซลเซียส ก่อนจะปรับลดลงมาเหลือ 1.5 องศา แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์พบว่า หากต้องการช่วยแผ่นน้ำแข็ง จะต้องจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1 องศา หรือให้อยู่ใกล้เลข 1 มากที่สุด

การบรรลุเป้าหมายนั้น นานาชาติต้องลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากเป็นพิเศษในประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกา ซึ่งยังคงใช้งานน้ำมัน, ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติอย่างกว้างขวาง

ดร.คริส สโตกส์ นักธารน้ำแข็งวิทยาจากมหาวิทยาลัยดูร์แฮม หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยนี้ กล่าวว่า “ในสิ่งที่เราสังเกตการณ์ มาน้อยมากที่มอบความหวังให้แก่เรา” “สถานการณ์ที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้คือประคองให้ ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และมั่นคงเท่านั้น”

แต่ ดร.สโตกส์ย้ำว่า การค้นพบนี้ไม่ได้หมายความว่าโลกควรยอมแพ้เรื่องการควบคุมอุณหภูมิโลกให้ได้ตามเป้าหมาย “การจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จะถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ มันสมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นเป้าหมายของเรา แม้ว่ามันจะไม่พอชะลอหรือหยุดการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการละลายของแผ่นน้ำแข็งก็ตาม”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : cnn