พิธีแต่งงานของ เจฟฟ์ เบซอส มหาเศรษฐีคนดังกับคู่หมั้นสาวจบลงแล้วด้วยงานกาล่าดินเนอร์ในวันเสาร์ ขณะที่ชาวเมืองเวนิสแบ่งออกเป็นฝ่ายที่ต่อต้านกับยินดีกับงานนี้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พิธีแต่งงานสุดหรูหราของเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งบริษัท อเมซอน กับคู่หมั้นสาว ลอเรน ซานเชซ ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี สิ้นสุดลงแล้วในช่วงค่ำวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย. 2568 ด้วยงานเลี้ยงกาล่า ซึ่งมีบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาร่วมงานมากมาย
แต่ในขณะที่แขกเหรื่อผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้นออกเดินทางจากโรงแรมสุดหรู ลงเรือล่องไปตามแม่น้ำในเมืองเวนิส มีคนจำนวนหนึ่งออกมาประท้วงต่อต้านพิธีแต่งงานนี้ด้วยเหตุผลต่างกันไป ทั้งชาวเมืองที่เบื่อหน่ายกับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนเมืองแห่งนี้มากเกินไป และกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมและต่อต้านทุนนิยม
...
ผู้ประท้วงหลายร้อยคนเดินขบวนตามถนนในเมืองเวนิสเมื่อวันเสาร์ จากนั้นแขวนป้าย “ไม่มีที่สำหรับเบซอส” จากสะพานริอัลโต (Rialto) พร้อมกับจุดพลุแฟลร์หลากหลายสี แต่พวกเขายกเลิกแผนการที่จะใช้ตุ๊กตาจระเข้ลอยน้ำลงไปลอยให้เต็มคลองเพื่อขวางเส้นทางของแขกผู้มาร่วมงานนั้น ถูกยกเลิกไป
รองนายกเทศมนตรีเมืองเวนิสออกมาปรามผู้ประท้วงว่าเป็นพวก “หลงตัวเอง” และยืนยันว่า งานแต่งงานของนายเบซอสคือ “การท่องเที่ยวคุณภาพสูง” ที่เมืองเวนิสต้องการ ด้านซิโมเน เวนตูรินี สมาชิกสภาปกครองเมืองฝ่ายการพัฒนาเศรษฐกิจคาดหวังว่าผู้คนจะอยากจัดงานแต่งที่เมืองเวนิส
“เราไม่ใช่อิหร่าน เมืองแห่งนี้ไม่สามารถพูดได้ว่าใครแต่งงานที่นี่ได้หรือไม่ได้ เราไม่มีตำรวจศีลธรรมเดินตรวจตราไปมา” นายเวนตูรินีกล่าว
แต่ที่ผ่านมานักเคลื่อนไหวประกาศชัยชนะไปแล้ว 1 ครั้ง เพราะเดิมทีงานเลี้ยงกาล่าในวันเสาร์ถูกย้ายสถานที่จัดจากย่านใจกลางเมือง มายังที่ “อาร์เซนาเล” ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย หลังจากผู้ประท้วงออกมาชุมนุมต่อต้านอย่างหนัก
น.ส.ปาโอลา ชาวอิตาลีผู้เป็นสมาชิกกลุ่ม Extinction Rebellion กล่าวว่าปัญหาหลักของเรื่องนี้คือ เมืองเวนิสถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสวนสนุก” นอกจากนั้น บรรดาแขกคนสำคัญยังเดินทางมาเวนิสเพื่อร่วมงานด้วยเครื่องบินส่วนตัว ยิ่งทำให้การผลิตก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ความกังวลของชาวเมืองที่ว่า เวนิสจะกลายเป็นสนามเด็กเล่นของบรรดานักท่องเที่ยว จนบีบให้พวกเขาต้องย้ายออกไปนั้น ไม่เกินความจริงแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นพยายามแก้ปัญหานักท่องเที่ยวเกินจำนวนด้วยการเก็บภาษีท่องเที่ยววันละ 5 ยูโร แต่มันก็ไม่ช่วยลดจำนวนนักท่องเที่ยวลงเลย
นายโรแบร์โต ซานอน วัย 77 ปี ผู้อาศัยอยู่ในเมืองเวนิสมาตลอดชีวิต กำลังจะต้องย้ายที่อยู่เนื่องจากเขาขายบ้านของตัวเองให้ผู้พัฒนาที่ดินที่มาจากนอกเมือง การให้ที่อยู่ใหม่ในเมืองก็เป็นไปไม่ได้เนื่องจากเขาสู้ราคาไม่ไหว
...
“ประตูบานที่ 1 2 3 นั้น พวกเขาคือชาวเมืองท้องถิ่น แต่ที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวไปหมดแล้ว” นายโรแบร์โตพูดกับนักข่าวพลางชี้ไปที่ประตูไม้ของอาคารรอบจัตุรัสที่เขาอาศัยอยู่ “ชาวเวนิสที่นี่กำลังลดลงเรื่อยๆ”
โรแบร์โตบอกด้วยว่า เขาเสียใจมากที่เสียบ้านไป “ไม่มีเป้าหมายเหลืออยู่อีกแล้ว คุณสูญเสียเพื่อน สูญเสียส่วนหนึ่งของดวงใจ แต่น่าเศร้าที่ไม่มีอะไรมาหยุดสถานการณ์นี้ได้”
แต่โรแบร์โตไม่ได้ต่อต้านการมาจัดงานแต่งงานของนายเบซอส โดยตัวเขาทำงานในวงการท่องเที่ยวมานานหลายปี และรู้สึกเป็นเกียรติที่แขกคนดังมากมายมาเยือนเมืองที่เขารักมาก และเขาก็ไม่ใช่ชาวเมืองเวนิสคนเดียวที่คิดแบบนี้
...
ลีดา เจ้าของร้านขายของฝากสนับสนุนการมาของเบซอสกับคู่หมั้นอย่างเต็มที่ โดยเธอพูดตรงๆ ว่า “ฉันคิดว่าควรมีคนอย่างเบซอสที่นี่เยอะๆ ตอนนี้เรามีแต่นักท่องเที่ยวขยะ เวนิสไม่สมควรได้รับสิ่งนั้น”
ลีดาเคยเป็นเจ้าของร้านขายสินค้าท้องถิ่นคุณภาพสูงของอิตาลี แต่ร้านนั้นต้องปิดลงเพื่อปรับตัวให้เข้ากับตลาดที่มีการใช้จ่ายน้อย “มันเป็นการท่องเที่ยวแบบต้นทุนต่ำ แบบมาแล้วก็ไป” ลีดากล่าว “ผู้คนนั่งเที่ยวบินราคา 20 ยูโร มาที่นี่แล้วไม่ใช้จ่ายอะไรเลย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เวนิสต้องการ”
รองนายกเทศมนตรีเมืองเวนิสยืนยันว่า เบซอสได้บริจาคเงินจำนวนกว่า 3 ล้านยูโรให้แก่องค์กรผู้ทำงานเพื่อปกป้องเมืองแห่งน้ำอันเปราะบางแห่งนี้ เพื่อแสดงการสนับสนุน ขณะที่คาดกันว่า งานแต่งงานของเบซอสจะสร้างรายได้ให้เมืองเวนิสราว 30 ล้านยูโร
แต่ลอเรนโซ นักเคลื่อนไหวจาก Extinction Rebellion กล่าวว่าเมื่อเทียบกับอัตราส่วนกับทรัพย์สินมหาศาลที่เบซอสมีแล้ว เงินดังกล่าวก็อยู่ที่ราว 3 ยูโรสำหรับคนปกติเท่านั้น
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
...
ที่มา : bbc