• เกรตแบร์ริเออร์รีฟ แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกในออสเตรเลีย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำทั่วโลก กำลังถูกคุกคามโดยไฟป่าใต้ทะเลอย่างหนัก
  • ด้วยอุณหภูมิของน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจาก "คลื่นความร้อนทางทะเล" ปะการังเริ่มแสดงอาการ "ฟอกขาว" เปลี่ยนจากสีสดใสเป็นขาวซีด เนื่องจากความเครียดจากความร้อน แม้บางส่วนอาจฟื้นตัวได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และนักวิทยาศาสตร์ก็ตกตะลึงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
  • นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันว่า สาเหตุหลักคือการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งทำให้โลกและมหาสมุทรร้อนขึ้น จากข้อมูลของ NASA ระบุว่า 90% ของความร้อนจากภาวะโลกร้อนถูกดูดซับไว้ในมหาสมุทร และทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มหาสมุทรร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์


ออสเตรเลียขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และหนึ่งในนั้นคือ "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำทั่วโลก

แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า อีกฟากหนึ่งของออสเตรเลีย ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ยังมีขุมทรัพย์ใต้ทะเลที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน นั่นคือ "แนวปะการังนินกาลู" แนวปะการังชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเพิร์ธประมาณ 14 ชั่วโมงโดยรถยนต์

นินกาลู เป็นพื้นที่มรดกโลกของยูเนสโกอีกแห่งหนึ่ง และมีป่าทะเลเขียวชอุ่มทอดตัวยาวหลายร้อยกิโลเมตรตามแนวชายฝั่ง นักท่องเที่ยวสามารถเดินจากชายหาดทะเลทรายเข้าไปยังทะเลสีฟ้าใส และเริ่มดำน้ำตื้นเพียงไม่กี่ก้าว เพื่อพบกับโลกใต้น้ำที่อุดมด้วยปะการัง เต่าทะเล กระเบนราหู ฉลามแนวปะการัง และฉลามวาฬ

...

แต่ปีนี้ นินกาลู กำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ ด้วยอุณหภูมิของน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจาก "คลื่นความร้อนทางทะเล"ปะการังเริ่มแสดงอาการ "ฟอกขาว"  เปลี่ยนจากสีสดใสเป็นขาวซีด เนื่องจากความเครียดจากความร้อน แม้บางส่วนอาจฟื้นตัวได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และนักวิทยาศาสตร์ก็ตกตะลึงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น


สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งแนวปะการังตะวันตกและตะวันออกของออสเตรเลียเกิดภาวะฟอกขาวพร้อมกัน

พอล แกมบลิน ผู้อำนวยการสมาคมอนุรักษ์ทางทะเลออสเตรเลีย ระบุว่ามันเหมือนกับไฟป่าที่ลุกลามใต้น้ำอย่างรุนแรงต่อเนื่องมาหลายเดือน สร้างความเสียหายตลอดแนวชายฝั่ง

คลื่นความร้อนทางทะเล เริ่มต้นจากทะเลแคริบเบียน

คลื่นความร้อนนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2023 และเคลื่อนตัวผ่านมหาสมุทรอินโด-แปซิฟิก ทำลายแนวปะการังระหว่างทาง ในช่วงต้นปี 2024 เกรตแบร์ริเออร์รีฟได้รับผลกระทบ ขณะที่นินกาลูยังรอดอยู่ แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนปลายปีที่ผ่านมาและต้นปี 2025 อุณหภูมิในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียก็พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าวิตก

นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ "ปรากฏการณ์ฟอกขาวปะการังระดับโลกครั้งที่ 4" ซึ่งขณะนี้มีแนวปะการังทั่วโลกกว่า 80% ได้รับผลกระทบ

ดร.เคต ควิกลีย์ นักวิจัยหลักจาก มูลนิธิ มินเดอรู เปรียบการฟอกขาวกับการติดเชื้อในลำไส้ของมนุษย์ โดยอธิบายว่า ปะการังต้องพึ่งพาสาหร่ายจิ๋วที่อาศัยอยู่ในเซลล์ของมันเพื่อดำรงชีวิต แต่เมื่ออุณหภูมิสูงเกินไป สาหร่ายจะตาย ความสัมพันธ์นี้พังทลาย และปะการังก็ฟอกขาว เหมือนคนเราเป็นไข้ท้องเสีย ปะการังก็ล้มป่วยเหมือนกัน

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ความร้อนที่ไม่ยอมหายไปตามฤดูกาลเหมือนแต่ก่อน ทำให้ปะการังมีโอกาสรอดลดลง


ความเสียหายที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

นินกาลู มีนักท่องเที่ยวปีละประมาณ 200,000 คน และนักดำน้ำที่ไปเยือนต่างก็รู้สึกใจหายกับสิ่งที่เห็น

นักดำน้ำบางคนบอกว่า รู้สึกเหมือนดำน้ำท่ามกลางซากศพมันว่างเปล่า เงียบเหงา ไม่มีแม้แต่เสียงปลากัดปะการัง

นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า หากแนวปะการังไม่ฟื้นกลับมาเร็วพอ นักท่องเที่ยวอาจหันหลังให้ นินกาลู ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

...

เหตุใดสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น?

นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันว่า สาเหตุหลักคือ "การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์" ซึ่งทำให้โลกและมหาสมุทรร้อนขึ้น จากข้อมูลของ NASA ระบุว่า 90% ของความร้อนจากภาวะโลกร้อนถูกดูดซับไว้ในมหาสมุทร และทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มหาสมุทรร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์

ในขณะเดียวกัน ความขัดแย้งก็ปรากฏชัด เมื่อแนวปะการังอยู่ใกล้กับ "โครงการก๊าซฟอสซิลขนาดใหญ่" อย่าง นอร์ท เวสต์ เชลฟ์ ซึ่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อไปจนถึงปี 2070 และบริษัทเดียวกันยังต้องการขยายโครงการไปยังแหล่งก๊าซขนาดใหญ่ที่ยังไม่ถูกแตะต้องในเบราซ์ เบซิน (Browse Basin) 

ยังแก้ไขทันหรือไม่

นักวิทยาศาสตร์กำลังเร่งทำความเข้าใจและปกป้องแนวปะการังอย่าง ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ใช้ภาพถ่ายร่วมกับโดรนเพื่อจัดทำแผนที่แนวปะการัง ติดตามสุขภาพในระยะยาว ขณะที่ทีมจาก มูลนิธิมินเดอรู ทำการเพาะพันธุ์ปะการังจากหลายสายพันธุ์ เพื่อค้นหาตัวที่ทนร้อนที่สุด แล้วปล่อยกลับคืนสู่ทะเล

อย่างไรก็ตาม ดร.ควิกลีย์ยอมรับว่า การปลูกปะการังในห้องแล็บไม่ใช่คำตอบระยะยาว เพราะไม่สามารถทำได้ในระดับโลก ทางออกที่ดีที่สุดคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เธอยังนำเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ไฟป่าว่า เมื่อไฟป่าเกิดขึ้นบนบก ทางการจะเข้าควบคุมสถานการณ์ทันที แต่กับแนวปะการัง ไม่มีการตอบสนองในระดับเดียวกัน ทั้งที่ผลกระทบอาจยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

โดยแนวปะการังเป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลถึง 25% ช่วยพยุงระบบนิเวศ ป้องกันชายฝั่งจากพายุ และสร้างรายได้มหาศาลให้กับเศรษฐกิจโลก หากยังเพิกเฉย ชีวิตใต้น้ำที่มนุษย์พึ่งพาอาศัยอาจไม่สามารถทนกับความร้อนได้อีกต่อไป และมนุษย์ก็ต้องรับกับสิ่งที่จะตามมา

...

ขณะเดียวกันคลื่นความร้อน หรือไฟป่าใต้ท้องทะเลยังส่งกระทบทำให้เกิดการบานสะพรั่งของสาหร่ายที่เป็นพิษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและการท่องเที่ยว ทำให้รัฐบาลรัฐเซาท์ ออสเตรเลีย ได้ประชุมหารือในวันนี้ (23 ก.ค.) เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาค โดยขณะนี้รัฐบาลกลางได้ให้คำมั่นว่าจะมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 14 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งงบประมาณดังกล่าวจะถูกนำไปใช้กับกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การตรวจสอบและวิจัยผลกระทบ การทำความสะอาดชายหาด การช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ และการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน

โดยรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลาง นายเมอร์เรย์ วัตต์ ระบุว่า "งบประมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรับมือทั้งความต้องการเร่งด่วนในระยะสั้น และความท้าทายระยะยาวที่รัฐออสเตรเลียใต้จะต้องเผชิญขณะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ครั้งนี้"

อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลกลางไม่ยอมประกาศเหตุการณ์นี้เป็น "ภัยพิบัติระดับชาติ" โดยวุฒิสมาชิกซาราห์ แฮนสัน-ยังชี้ว่า "ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดเป็นไฟป่าครั้งใหญ่บนชายฝั่งตะวันออก หรือเป็นพายุรุนแรง ภัยอากาศร้ายแรง น้ำท่วมใหญ่ หรือไซโคลน มันคงถูกประกาศเป็นภัยพิบัติไปนานแล้ว"


ผู้เขียน : อาจุมมาโอปอล

ที่มา : BBC , The university of adelaide

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ เกรตแบร์ริเออร์รีฟ

...