หน่วยงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นรายงานว่า ญี่ปุ่นทำลายสถิติความร้อนถึง 17 ครั้ง หลังจากที่ประเทศต้องเผชิญกับอากาศร้อนอบอ้าวตลอดเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า คลื่นความร้อนกำลังทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้นทั่วโลก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ และญี่ปุ่นก็ไม่มีข้อยกเว้น
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA) ระบุว่า เมืองโคมัตสึ ในจังหวัดอิชิกาวะ มีอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 40.3 องศาเซลเซียส ในวันนี้ (4 ส.ค.)
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น ยังระบุว่า เมืองโทยามะ ในจังหวัดโทยามะ มีอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 39.8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติ
JMA ซึ่งติดตามอุณหภูมิมากกว่า 900 จุดทั่วญี่ปุ่น กล่าวเสริมว่า มีอีก 15 พื้นที่ทั่วเมืองและเขตปกครองต่างๆ พุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ระหว่าง 35.7 องศาเซลเซียส ถึง 39.8 องศาเซลเซียส
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ญี่ปุ่นเผชิญกับอุณหภูมิสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ คือ 41.2 องศาเซลเซียส ในเขตตะวันตกของจังหวัดเฮียวโงะ
...
นอกจากนั้น ฤดูฝนที่สิ้นสุดลงเร็วกว่าปกติประมาณสามสัปดาห์ในเขตตะวันตกของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการสร้างสถิติใหม่อีกครั้ง
กระทรวงที่ดินกล่าวว่า ปริมาณน้ำฝนที่ต่ำและความร้อน ทำให้เขื่อนหลายแห่งในเขตภาคเหนือแทบจะว่างเปล่า เกษตรกรกังวลว่าปัญหาการขาดแคลนน้ำและความร้อนจัดอาจส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าต้นซากุระอันเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นกำลังบานเร็วขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้น หรือบางครั้งอาจยังไม่บานเต็มที่ เนื่องจากฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวไม่หนาวพอที่จะกระตุ้นให้ออกดอก
ขณะที่ยอดเขาหิมะอันเลื่องชื่อของภูเขาไฟฟูจิ ปรากฏช้าที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้เมื่อปีที่แล้ว โดยเพิ่งปรากฏให้เห็นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงต้นเดือนตุลาคม
ปีนี้ ญี่ปุ่นมีเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลในปี 1898 โดยสำนักงานอุตุนิยมวิทยาได้เตือนว่าจะเกิด "ความร้อนรุนแรง" ขึ้นอีกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ความเร็วของการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทั่วโลกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่คงที่ โดยในบรรดาทวีปต่างๆ ยุโรปเป็นทวีปที่มีภาวะโลกร้อนขึ้นเร็วที่สุดในรอบทศวรรษนับตั้งแต่ปี 1990 ตามมาด้วยเอเชีย ตามข้อมูลทั่วโลกจากองค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ของสหรัฐอเมริกา.
ที่มา AFP