รายงานฉบับใหม่ระบุว่า แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟบางส่วน เกิดการสูญเสียปะการังมากที่สุด นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน
ข้อมูลล่าสุดของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งออสเตรเลีย (AIMS) พบว่าแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ได้ประสบกับการสูญเสียปะการังครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่แล้วซึ่งได้รับผลกระทบจากการฟอกขาวของปะการังอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแนวปะการังมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2017 ทำให้การสูญเสียในครั้งนี้ยังคงรักษาระดับแนวปะการังโดยรวมให้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในระยะยาว
รายงานระบุว่าสถานการณ์ล่าสุดนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความผันผวนของแนวปะการังซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก โดยนายไมค์ เอมส์ลี หัวหน้าโครงการเฝ้าระวังระยะยาวของ AIMS กล่าวว่าแม้แนวปะการังมีระดับการเติบโตสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ในรอบ 39 ปี แต่การสูญเสียในครั้งนี้ก็เป็นผลกระทบที่สำคัญและเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าการฟอกขาวของปะการังที่เกิดถี่ขึ้นนั้นเริ่มส่งผลกระทบในทางลบต่อระบบนิเวศแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้
รายงานได้แบ่งพื้นที่ของเกรตแบร์ริเออร์รีฟออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ตอนเหนือ ตอนกลาง และตอนใต้ ซึ่งมีความยาวกว่า 1,500 กิโลเมตร ผลการสำรวจพบว่าแนวปะการังที่ยังมีชีวิตลดลงอย่างมากในทุกภูมิภาค โดยตอนใต้ลดลงเกือบหนึ่งในสาม ตอนเหนือลดลงหนึ่งในสี่ และตอนกลางลดลง 14% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันทั่วทั้งแนวปะการัง
จากข้อมูลของสำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) ระบุว่าโลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ฟอกขาวของปะการังครั้งใหญ่ที่สุดและเป็นครั้งที่ 4 ที่เคยมีการบันทึกไว้ โดยปรากฏการณ์นี้เริ่มต้นในเดือนมกราคม 2023 และถูกประกาศเป็นวิกฤตการณ์ระดับโลกในเดือนเมษายน 2024 ซึ่งความร้อนที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อแนวปะการังเกือบ 84% ทั่วโลกในอย่างน้อย 83 ประเทศ รวมถึงเกรตแบร์ริเออร์รีฟด้วย
...
การฟอกขาวของปะการังเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นเป็นเวลานาน ส่งผลให้ปะการังขับสาหร่ายที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อออกไป ทำให้ปะการังกลายเป็นสีขาวและอ่อนแอลง แม้ว่าปะการังที่ฟอกขาวยังไม่ตาย แต่ก็มีความเสี่ยงต่อโรคและอัตราการรอดชีวิตที่ลดลง
แม้แนวปะการังจะสามารถฟื้นตัวได้จากเหตุการณ์ฟอกขาว แต่โดยทั่วไปแล้วความแข็งแรงของแนวปะการังจะไม่เท่าเดิม นอกจากนี้ รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (IPCC) ในปี 2018 ชี้ให้เห็นว่าแนวปะการังมีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อภาวะโลกร้อนที่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งขณะนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้เพิ่มขึ้นไปแล้ว 1.3 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม
การศึกษาในรายงานของ IPCC ระบุว่าแนวปะการังเขตร้อนมีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1.2 องศาเซลเซียส และหากอุณหภูมิสูงกว่านั้น ระบบนิเวศที่มีปะการังเป็นหลักอาจจะไม่มีอยู่อีกต่อไป โดยปริมาณของปะการังจะเหลือเกือบศูนย์ในหลายพื้นที่ ซึ่งการฟอกขาวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ในช่วงกลางปี 2010 ก็เป็นข้อบ่งชี้ว่ากลุ่มนักวิจัยอาจประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะโลกร้อนต่อแนวปะการังต่ำเกินไป.
ที่มา AP