• ศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ ตัดสินให้การตั้งกำแพงภาษีต่างตอบแทนของโดนัลด์ ทรัมป์ ผิดกฎหมาย เนื่องจากใช้อำนาจเกินขอบเขต

  • นายทรัมป์ยืนยันว่าจะไปสู้กันต่อที่ศาลสูงสุด แต่หากเขาแพ้คดีจะเกิดผลที่ตามมาหลายอย่าง รวมถึงหายนะทางการเงินสำหรับสหรัฐอเมริกา

  • นอกจากนั้น นายทรัมป์จะเสียข้อต่อรองในการเจรจาที่เรียกว่า “ภาษี” ซึ่งเขาใช้ในการบีบให้ประเทศต่างๆ ยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องทางการค้าของเขามาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาด้วย


ศาลอุทธรณ์กลางแห่งสหรัฐอเมริกามีคำตัดสินเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า มาตรการภาษีต่างตอบแทน (reciprocal tariff) ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บังคับใช้กับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ เกือบทุกประเทศ กำลังถูกบังคับใช้อย่างผิดกฎหมาย

คำตัดสินดังกล่าวถือเป็นความปราชัยครั้งใหญ่ของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยศาลระบุว่า ผู้นำรีพับลิกันรายนี้ใช้อำนาจเกินขอบเขตในตอนที่เขาประกาศว่า การขาดดุลการค้าและเรื่องชายแดนเป็น “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การเก็บภาษีศุลกากรอย่างครอบคลุมของเขา

นายทรัมป์ซึ่งใช้มาตรการภาษีเป็นอาวุธสุดโปรดในการทำสงครามการค้าไปทั่วโลก ประกาศกร้าวว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อในชั้นศาลสูงสุด ทำให้เกิดคำถามว่า จะเกิดอะไรขึ้น หากศาลฎีกาสหรัฐฯ ตัดสินให้การเก็บ “ภาษีต่างตอบแทน” เป็นสิ่งผิดกฎหมายอีกครั้ง?

...


“ตอนนี้” ภาษีทรัมป์ยังบังคับใช้อยู่


ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ระบุว่า นายทรัมป์ทำเกินไปที่สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองใช้ภาษีเป็นอาวุธ โดยเป็นการพิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลการค้ากลางในนิวยอร์ก เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ยังให้เวลารัฐบาลของนายทรัมป์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดได้

คำตัดสินของศาลมีสาเหตุมาจากมาตรการภาษีที่ทรัมป์บังคับใช้กับประเทศคู่ค้าเกือบทั้งหมดของสหรัฐฯ เมื่อเดือนเมษายน รวมทั้งภาษีที่บังคับใช้กับจีน เม็กซิโก และแคนาดา ก่อนหน้านั้น

อย่างไรก็ตาม ศาลยังอนุญาตให้มาตรการภาษีต่างตอบแทนของนายทรัมป์มีบังคับใช้ต่อไปได้ ในระหว่างการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด ซึ่งหมายความว่า ธุรกิจต่างๆ, ผู้บริโภค และรัฐบาลต่างประเทศ ก็จะยังต้องใช้ชีวิตภายใต้กำแพงภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อไป จนกว่าศาลสูงสุดจะมีคำตัดสิน


เสี่ยงต้องคืนเงิน 5 ล้านล้านบาท


รัฐบาลทรัมป์กำลังกังวลว่า หากในท้ายที่สุดแล้ว มาตรการภาษีถูกศาลสูงสุดตีตก กระทรวงการคลังจะต้องถูกบังคับให้คืนเงินภาษีส่วนเกินที่เก็บจากผู้นำเข้า โดยนับจนถึงแค่เดือนกรกฎาคม รายได้จากภาษีส่วนเกินก็พุ่งแตะ 1.59 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.1 ล้านล้านบาทแล้ว มากกว่าที่รัฐบาลคาดไว้

กระทรวงยุติธรรมเตือนว่า การแพ้คดีนี้จะหมายถึง “ความพินาศทางการเงิน” (financial ruin) สำหรับสหรัฐฯ เป็นการเตือนที่ตอกย้ำให้เห็นว่า ภาษีศุลกากรได้กลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของสหรัฐฯ มาแค่ไหน

“ในสถานการณ์เช่นนั้น ผู้คนจะถูกบังคับให้ต้องออกจากบ้าน, ตำแหน่งงานนับล้านจะหายไป ชาวอเมริกันผู้ทำงานหนักจะสูญเสียเงินเก็บ และแม้แต่ประกันสังคมกับประกันสุขภาพก็อาจตกอยู่ในความเสี่ยงด้วย” รองอัยการสูงสุด ดี. จอห์น ซอเออร์ กับผู้ช่วยอัยการสูงสุด เบรตต์ ชูเมต ระบุในจดหมายที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์

“พูดสั้นๆ คือ ผลที่ตามมาทางเศรษฐกิจจะเลวร้าย แทนที่จะเป็นความสำเร็จอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

ชาวอินเดียอ่านข่าวทรัมป์กำลังจะบังคับใช้กำแพงภาษี 50% กับสินค้าส่งออกของพวกเขา
ชาวอินเดียอ่านข่าวทรัมป์กำลังจะบังคับใช้กำแพงภาษี 50% กับสินค้าส่งออกของพวกเขา


อำนาจต่อรองของทรัมป์จะลดลง


คำตัดสินของศาลสูงสุดยังเสี่ยงทำให้ข้อต่อรองที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของนายทรัมป์หมดความหมาย ที่ผ่านมาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้เรื่องภาษีขู่ประเทศที่แข็งข้อให้ยอมทำข้อตกลงการค้าตามที่เขาต้องการ อย่างที่เห็นกับสหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป

หากไม่มีเครื่องมือนี้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า รัฐบาลต่างชาติอาจจะชะลอการทำตามสัญญา, ขัดขืนข้อเรียกร้องจากสหรัฐ หรือการพยายามกลับไปใช้ข้อตกลงฉบับเก่า และนายทรัมป์อาจต้องเป็นฝ่ายเจรจาจากตำแหน่งที่เสียเปรียบ ไม่ได้เหนือกว่าอีกต่อไป


ตัดสินกันที่ศาลสูงสุด

...


โดนัลด์ ทรัมป์ ให้คำมั่นว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีนี้ต่อศาลสูงสุด โดยโจมตีคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ว่า เลือกข้างทางการเมือง และเตือนว่า คำตัดสินนี้อาจทำลายสหรัฐอเมริกาอย่างแท้จริง

“หลายปีที่ผ่านมา นักการเมืองที่ไม่สนใจและไม่ฉลาดได้รับอนุญาตให้ใช้กำแพงภาษีพวกเรา และตอนนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากศาลสูงสุด เราจะใช้ภาษีเพื่อประโยชน์ของประเทศเรา และทำให้อเมริการ่ำรวย, แข็งแกร่ง และทรงอำนาจอีกครั้ง!” นายทรัมป์ระบุว่าบน Truth Social

ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินดังกล่าวด้วยมติ 7 ต่อ 4 ซึ่งความเห็นต่างที่เกิดขึ้นจะช่วยเปิดช่องทางทางกฎหมายให้นายทรัมป์มากขึ้น เช่นผู้พิพากษาบางคนโต้แย้งว่า อำนาจการตั้งกำแพงภาษีในภาวะฉุกเฉินไม่ละเมิดรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

มาตรการภาษีของนายทรัมป์ ทำให้สินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ แพงขึ้น
มาตรการภาษีของนายทรัมป์ ทำให้สินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ แพงขึ้น

...


ทรัมป์ยังมีตัวเลือกอื่น


ถึงแม้ว่าศาลสูงสุดจะขัดขวางเขาไม่ให้ใช้ “กฎหมายอำนาจทางเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ” (IEEPA) ในการบังคับใช้มาตรการภาษีของเขา นายทรัมป์ก็ยังมีตัวเลือกอื่น ถึงแม้ว่าจะไม่รุนแรงเท่าก็ตาม

เขายังมีกฎหมายการค้าปี 1974 (Trade Act) ที่อนุญาตให้ตั้งกำแพงภาษีไม่เกิน 15% เป็นเวลา 150 วัน กับประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าด้วยมากๆ

นอกจากนั้นยังมีส่วนที่ 232 ของกฎหมายการขยายการค้าปี 1962 (Trade Expansion Act) ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีบังคับใช้กำแพงภาษีด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเคยใช้มาก่อนกับสินค้าจำพวกเหล็กกล้า, อะลูมิเนียม และยานยนต์ แต่จำเป็นต้องมีการสืบสวนของกระทรวงพาณิชย์ก่อน ไม่สามารถบังคับใช้ได้ทันที

เครื่องมือเหล่านี้ไม่ครอบคลุม และรุนแรงเท่ากับที่นายทรัมป์กำลังทำอยู่ และอาจชะลอความสามารถของเขาในการบีบให้รัฐบาลต่างชาติยอมอ่อนข้อให้


หนทางข้างหน้า


ในระยะสั้น ภาษีของนายทรัมป์จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป ส่วนในระยะกลาง ศาลสูงสุดจะเป็นผู้ตัดสินว่า ประธานาธิบดีใช้อำนาจฉุกเฉินเกินขอบเขตเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้ตลาดโลกหรือไม่

หากทรัมป์แพ้คดี อเมริกาอาจต้องเผชิญทั้งการคืนเงินภาษีก้อนโต และการปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ว่าพวกเขาจะเจรจาทางการค้าอย่างไร

สำหรับตอนนี้ ธุรกิจสหรัฐฯ, ประเทศคู่ค้า และผู้บริโภคจะยังคงติดอยู่ในสถานการณ์ความไม่แน่นอน รอคอยวันที่ภาษี “วันประกาศอิสรภาพ” ของนายทรัมป์สร้างยุคสมัยใหม่แห่งอำนาจทางการค้าของประธานาธิบดี หรือวันที่ภาษีถูกตีตกโดยศาลสูงสุด


ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

...


ที่มา : times of india