การบุกเข้าจับกุมแรงงานสัญชาติเกาหลีใต้กว่า 300 คน ที่โรงงานฮุนไดในรัฐจอร์เจีย ของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้แก่ภาคธุรกิจของเกาหลีใต้ โดยประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ได้ออกมาเตือนว่าเหตุการณ์นี้อาจทำให้บริษัทเกาหลีใต้ลังเลที่จะลงทุนในสหรัฐฯ

ทางการเกาหลีใต้ระบุว่า แรงงานชาวเกาหลีใต้กว่า 300 คนที่ถูกจับกุมจากปฏิบัติการจู่โจมดังกล่าว มีกำหนดเดินทางกลับประเทศในวันศุกร์นี้ (12 ก.ย.) หลังจากที่กำหนดการเดิมต้องล่าช้าออกไป "เนื่องจากสถานการณ์ในฝั่งสหรัฐฯ" 

ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง กล่าวระหว่างการแถลงข่าวครบรอบ 100 วันในการดำรงตำแหน่งว่า "สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง" พร้อมชี้ให้เห็นว่าการส่งแรงงานชาวเกาหลีใต้เข้าไปช่วยตั้งโรงงานในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติ หากการดำเนินการดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตอีกต่อไป การตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ก็จะกลายเป็นเรื่องยากขึ้น และอาจทำให้บริษัทต่างๆ ตั้งคำถามว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนหรือไม่

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาทางการค้าที่ละเอียดอ่อน ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้แสดงความกังวลอย่างยิ่ง

ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง เปิดเผยว่ารัฐบาลเกาหลีกำลังเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหาทางเลือกเรื่องวีซ่าสำหรับแรงงานเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโควตาหรือการสร้างประเภทวีซ่าใหม่ๆ นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่าการเดินทางกลับของแรงงานที่ถูกจับกุมต้องล่าช้าออกไปเนื่องจากมีคำสั่งจากทำเนียบขาว โดยระบุว่าได้รับคำสั่งจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สั่งการว่าแรงงานควรมีอิสระที่จะอยู่ในสหรัฐฯ หากพวกเขาต้องการ

ในขณะที่ทางด้านของบริษัท LG Energy Solution ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการโรงงานร่วมกับฮุนได ชี้แจงว่าพนักงานหลายคนที่ถูกจับกุมนั้นถือวีซ่าประเภทต่างๆ หรืออยู่ในโครงการยกเว้นวีซ่า

...

สื่อในเกาหลีใต้ต่างพากันเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "เรื่องน่าตกใจ" และเตือนว่าอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางธุรกิจของเกาหลีใต้ในสหรัฐฯ ในทางกลับกัน ทำเนียบขาวได้ออกมาปกป้องปฏิบัติการดังกล่าว โดยปฏิเสธความกังวลที่ว่าการจู่โจมจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนจากต่างชาติ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ในโซเชียลมีเดียเรียกร้องให้บริษัทต่างชาติจ้างงานชาวอเมริกัน โดยกล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะอำนวยความสะดวกให้บริษัทต่างชาติสามารถนำแรงงานเข้ามาในประเทศได้อย่างรวดเร็วและถูกกฎหมาย หากพวกเขายอมรับและปฏิบัติตามกฎหมายการเข้าเมืองของสหรัฐฯ

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงกลายเป็นบททดสอบความสัมพันธ์ระหว่างสองพันธมิตรที่ใกล้ชิด ซึ่งมีทั้งความร่วมมือทางยุทธศาสตร์และการลงทุนทางเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวงระหว่างกัน.


ที่มา BBC