อิสราเอลโจมตีเมืองกาซาซิตี้อย่างรุนแรงมากขึ้นในวันเสาร์ อ้างเพื่อกำจัดกลุ่มติดอาวุธ “ฮามาส” ทำให้ชาวเมืองต้องอพยพออกไปกว่า 250,000 คนแล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กองทัพอิสราเอลยกระดับการโจมตีในเมืองกาซาซิตี้ขึ้นอีกในวันเสาร์ที่ 13 ก.ย. 2568 โดยเน้นหนักที่การโจมตีทางอากาศต่างจากก่อนหน้านี้ ทำให้อาคารบ้านเรือนพังราบ ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพหนีการโจมตี
ก่อนหน้านี้ อิสราเอลประกาศเตือนประชาชนทุกคนในกาซาซิตี้ ให้อพยพออกไปในทันที ท่ามกลางความคาดหมายว่าอิสราเอลกำลังจะมีปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดินครั้งใหญ่ในเมืองแห่งนี้
ในวันเสาร์ กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ระบุว่า ประชาชนราว 250,000 คน อพยพออกจากเมืองกาซาซิตี้แล้ว และกำลังมุ่งหน้าลงใต้ IDF เผยอีกว่า พวกเขาทำลายอาคารสูงที่เชื่อว่าถูกผู้ก่อการร้ายใช้เพื่อส่งเสริมและดำเนินการโจมตีกองทัพอิสราเอลด้วย
นายเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวก่อนหน้านี้ว่า กาซาซิตี้คือฐานที่มั่นขนาดใหญ่แห่งสุดท้ายของกลุ่มฮามาส ซึ่งกองทัพวางแผนจะยึดเมืองแห่งนี้เพื่อกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธ แต่แผนการยึดเมืองกำลังเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนานาชาติ
องค์การสหประชาชาติเตือนว่า การโจมตีที่รุนแรงขึ้นในพื้นที่ที่มีการประกาศภาวะอดอยาก จะยิ่งผลักให้ประชาชนเข้าสู่หายนะที่ลึกล้ำยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ กาซาซิตี้เป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา และเป็นหัวใจของประวัติศาสตร์ชาวปาเลสไตน์ทั้งในด้านการเมืองและสังคม
ผู้อยู่อาศัยในกาซาซิตี้บอกกับสำนักข่าว บีบีซี ว่า กองทัพอิสราเอลมุ่งเป้าโจมตีโรงเรียนกับที่หลบภัยชั่วคราว และมักจะประกาศเตือนก่อนที่การโจมตีจะเริ่มขึ้นเพียงไม่นาน หลายครอบครัวถูกบีบให้ต้องหลบหนีในตอนกลางคืน มุ่งหน้าสู่ทางตะวันตกของฉนวนกาซา
...
อิสราเอลบอกให้ชาวบ้านอพยพไปทางใต้ของฉนวนกาซา แต่บางครอบครัวมีทุนทรัพย์ในการเดินทางไม่เพียงพอ ในขณะที่กลุ่มฮามาสเรียกร้องให้ประชาชนปักหลักอยู่ที่เดิมต่อไป และอย่าเดินทางออกจากเมือง
อย่างไรก็ตาม ประกาศของฮามาสสร้างความไม่พอใจแก่ชาวกาซาหลายคน รวมถึงนายรูเบน คาลีด ซึ่งระบุว่า “เมื่อวันพุธ (10 ก.ย.) นักบวชของฮามาสกล่าวหาใครก็ตามที่หนีออกจากเมืองว่าเป็นพวกขี้ขลาดที่หลบหนีจากสนามรบ”
“แล้วทำไมเขาไม่ไปบอกผู้นำฮามาสให้ออกมามอบตัวและปล่อยตัวประกันเพื่อที่เราจะได้ยุติสงครามนี้เสียที เราไม่ได้อยากไป แต่เราไม่มีทางเลือก” นายคาลีดกล่าว
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc