กสทช.เด้งรับลูก ถกกรณีพิธีกรขั้วการเมือง จัดรายการผ่านโซเชียลมีเดียดูหมิ่นผู้ป่วยซึมเศร้า ผู้มีความหลากหลายทางเพศและสตรี ด้านสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ชี้ ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวพิเศษ หากละเมิดมีโทษทางอาญา
น.ส. พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ กล่าวภายหลังเป็นประธานจัดประชุมร่วมกับองค์กรวิชาชีพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือแนวทางในการจัดการกับเนื้อหาที่มีความรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางที่ถูกนำเสนอซ้ำในสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2568 โดยมีผู้แทนจากองค์กรวิชาชีพและผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)หรือ PDPC และกรมสุขภาพจิต เข้าร่วม
น.ส.พิรงรอง ระบุ ที่ประชุมเห็นพ้องควรใช้ทั้งกฎหมาย การกำกับดูแลกันเอง และสร้างบรรทัดฐานของสังคม ตอกย้ำความสำคัญของระบบบรรณาธิการ พร้อมชี้เป้าประชาชนสามารถร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อรักษาสิทธิได้
จากกรณีเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 มีพิธีกรรายการโทรทัศน์ระดับชาติได้จัดรายการผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กล่าวคำหยาบคาย ลบหลู่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ล้อเลียน ตีตรา สร้างอคติและภาพเหมารวมแก่กลุ่มเปราะบาง ในกรณีนี้คือผู้ป่วยซึมเศร้าและผู้มีความหลากหลายทางเพศและสตรี จากนั้นมีรายการโทรทัศน์จำนวนหนึ่งนำคลิปเนื้อหาของเหตุการณ์ดังกล่าวมาเผยแพร่ในรายการ
“ความรุนแรงเป็นเรื่องที่ กสทช. ชุดนี้ให้ความสำคัญอย่างมาก ความรุนแรงที่ปรากฏในเนื้อหาสื่อ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สื่อลดต้นทุนการผลิตและไปเอาเนื้อหามาจากออนไลน์ ซึ่งมักเน้นความรุนแรง มีการเหยียด ตีตรา ไปจนถึงการสร้างความเกลียดชัง มานำเสนอต่อ แม้ช่องทีวีส่วนใหญ่ ในฐานะผู้รับอนุญาตจาก กสทช. จะมีความระมัดระวังพอสมควร มีการดูดเสียง และไม่นำเสนอชื่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบ แต่ก็มีบางส่วนปล่อยหลุดออกมา ซึ่งการนำเนื้อหาที่มีความรุนแรงจากออนไลน์มาผลิตซ้ำ อาจเป็นการขยายความรุนแรงออกไป ตอกย้ำว่าสิ่งนี้ทำได้หรือยอมรับได้ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอีก จึงต้องมองในภาพใหญ่และหาแนวทางในการยกระดับแนวทางการนำเสนอเนื้อหาของสื่อในระยะยาว”
...
นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้เชี่ยวชาญ ด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) กล่าวว่า แม้การทำงานของสื่อมวลชนอาจได้รับการยกเว้นตามมาตรา 4 (3) ของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่การยกเว้นดังกล่าวมีเงื่อนไข เช่น ต้องเป็นองค์กรสื่อมวลชนที่มีกองบรรณาธิการและมีประมวลจริยธรรม และการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขย่อมไม่ได้รับการยกเว้น ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวพิเศษที่ห้ามมีข้อยกเว้น หากละเมิดมีโทษทางอาญา ทั้งนี้ สคส.มีขั้นตอนและกระบวนการในการรับเรื่องร้องเรียนและดำเนินมาตรการต่างๆ รวมถึงการประสานงานกับแพลตฟอร์มในการบล็อกข้อมูลที่ละเมิดได้ ซึ่ง สคส.ยินดีที่จะทำงานร่วมกับ กสทช. ในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนหรือเนื้อหาที่ละเมิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ อดีตที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ผู้มีปัญหาทางจิต โรคซึมเศร้า อารมณ์สองขั้ว ควรได้รับโอกาสให้อยู่ร่วมในสังคมเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคอื่นๆ การสร้างความรังเกียจเดียดฉันท์ (discriminate) และสร้างตราบาป (stigma) ส่งผลกระทบทั้งต่อตัวผู้ป่วยและญาติพี่น้อง หากรุนแรงขึ้นอาจนำไปสู่ความรุนแรงทางกายภาพและก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศได้ “สังเกตได้ว่าผู้ที่ผลิตและเผยแพร่เนื้อหาทางสื่อออนไลน์จะมีการควบคุมตัวเองในระดับต่ำ เพราะไม่มีกองบรรณาธิการ จึงควรมีการสร้างมาตรฐานเชิงระบบ ซึ่งในเชิงจิตวิทยานั้นเครื่องมือทางกฎหมายถือเป็นมาตรการขั้นต่ำสุด ซึ่งเป็นการลงโทษและอาจมีผลน้อยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ถัดมาคือการกำกับดูแลภายในขององค์กร เช่น มีการตักเตือน ออกแถลงการณ์ แสดงจุดยืน แต่จะให้ดียิ่งขึ้นต้องทำให้เป็นบรรทัดฐานของสังคม”
นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และนายกสมาคมสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวทางในการสร้างบรรทัดฐานการกำกับดูแลขององค์กรวิชาชีพ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันระบบการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชนยังเป็นแบบสมัครใจ หากองค์กรสื่อไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก องค์กรวิชาชีพก็ไม่สามารถเข้าไปกำกับดูแลได้
นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ และอนุกรรมการด้านเนื้อหารายการ การส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง และการพัฒนาองค์กรวิชาชีพในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กล่าวว่า การกำกับดูแลมีหลายลำดับชั้น เช่น การวางกรอบทางจริยธรรมขององค์กรวิชาชีพ, กรอบการกำกับดูแลของ กสทช., พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่คุ้มครองประชาชนในแต่ละประเด็นอีกด้วย เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ซึ่งควรมีการเผยแพร่ความรู้และประสานงานระหว่างหน่วยงานในการส่งต่อเรื่องร้องเรียน
นายพีระวัฒน์ โชติธรรมโม นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า ระบบกองบรรณาธิการที่มีการกำหนดขั้นตอนการตรวจสอบและกลั่นกรองเนื้อหาดังที่เคยมีในอดีต ถูกลดทอนไปเนื่องจากองค์กรธุรกิจสื่อต้องการลดต้นทุนและในบางครั้งให้อำนาจผู้ดำเนินรายการ ซึ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้ชม
น.ส.พิรงรอง กล่าวเสริมอีกว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางเสนอแนะด้านเนื้อหา (recommended guidelines) ภายใต้มาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพสื่อ อีกทั้งคณะทำงานร่วมด้านการนำเสนอข่าวเด็ก ข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรงในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เพื่อจัดทำแนวปฏิบัติ พร้อมส่งเสริมกลไกการกำกับดูแลกันเองให้มีประสิทธิภาพ บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับคุณภาพการรายงานข่าว สร้างระบบนิเวศสื่อที่เหมาะสมและยั่งยืน
...
อ่านข่าว "นโยบายรัฐ" เพิ่มเติม