เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2568 จังหวัดสมุทรปราการ ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ได้ประกาศให้ “จังหวัดสมุทรปราการ” เป็นพื้นที่ควบคุม เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 แล้ว โดยดำเนินการ... กำหนดให้ “ฝุ่น PM2.5” เป็นสาธารณภัย

กำหนดประเภทของแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นในจังหวัด...กำหนดหน่วยงานและมาตรการดำเนินการจัดการแหล่งกำเนิดที่ชัดเจน...บทลงโทษชัดเจน และประกาศให้ทุกคนทราบร่วมกัน

อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการ บอกว่า ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีมากในการทำหน้าที่ของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ในภาวะวิกฤติที่ “ฝุ่น PM2.5” มีผลกระทบต่อสุขภาพ เตรียมต้อนรับฝุ่นระลอกใหม่ที่กำลังจะมาอีกครั้งช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

“เริ่มที่ล้างถนน พ่นน้ำลดฝุ่นใหญ่และ PM10 รวมทั้งตรวจสอบแหล่งกำเนิด”

หลายๆคนอาจมีคำถามตามมาว่า ควรฉีดพ่นน้ำบนถนนและในอากาศในวันที่ฝุ่นสูงมากหรือไม่?

อาจารย์สนธิ บอกว่า “ฝุ่น PM10” มีขนาดเล็กตั้งแต่ 10 ไมครอนลงไป ส่วนใหญ่เกิดจากการก่อสร้าง การถมดิน การเผาขยะ การเผาป่าไม้ การเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น หากหายใจเข้าไปจะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ตั้งแต่โพรงจมูก หลอดลม จนถึงขั้วปอดและปอด

...

หากหายใจเข้าไปปริมาณมากจะมีอาการน้ำมูกไหล แสบจมูก คอแห้ง โรคหอบหืด รวมทั้งโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือ COPD (Chronic Obstructive Pulmonary Disease)

“การจัดการฝุ่น PM10 ทำได้โดยการพ่นน้ำเป็นละอองฝอยมีขนาดไม่เกิน 10 ไมครอนไปที่แหล่งกำเนิดหรือในบรรยากาศ จะช่วยจับได้ทั้งฝุ่น PM10 และฝุ่นขนาดใหญ่ (TSP) สามารถลดปริมาณฝุ่น PM10 ในบรรยากาศได้”

ส่วน “ฝุ่น PM2.5” จะมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอนลงไป ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้ของฟอสซิล น้ำมันดีเซล การเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรกรรม เผาป่าไม้ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น หากหายใจเข้าไปจะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างถึงปอดและทะลุถุงลมปอด

หากเป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอนหรือ 0.1 ไมครอน สามารถทะลุเข้าไปในเส้นเลือดได้และผ่านไปยังหัวใจหรือสมอง มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปอด โรคหลอดเลือดสมอง และหัวใจล้มเหลวในระยะยาว

ย้ำอีกว่า “ฝุ่น PM10” ถือว่ามีอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ระบบทางเดินหายใจอักเสบ เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้ ดังนั้น การฉีดพ่นน้ำไปในบรรยากาศ หรือฉีดน้ำไปยังแหล่งกำเนิดมลพิษก็จะสามารถช่วยลดทั้งฝุ่นที่มีขนาดใหญ่และฝุ่น PM10 ได้... ส่วนฝุ่น PM2.5 วิธีการจัดการจะต้องลดที่แหล่งกำเนิดเท่านั้น

หรือ...ห้ามการเผาชีวมวลทั้งหมด ห้ามใช้น้ำมันดีเซล ลดการปล่อยฝุ่นควันจากปล่องของโรงงานอุตสาหกรรม ห้ามเผาป่า ห้ามเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรทั้งหมด...

ดังนั้น... “มาตรการลดฝุ่น” ในเมืองโดยใช้น้ำฉีดพ่นไปบนถนนหรือใช้น้ำที่มีละอองฝอยขนาดเล็กพ่นในบรรยากาศจะช่วยลดทั้งฝุ่นขนาดใหญ่และฝุ่น PM10 ได้ จึงควรทำในภาวะวิกฤติที่มีฝุ่นในบรรยากาศเกินค่ามาตรฐานจะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้มาก

ให้รู้เอาไว้อีกว่า...การสูดดม “ฝุ่นจิ๋ว” ช่วงนี้เหมือนสูบบุหรี่สามมวนบวกสารก่อมะเร็งทุกวัน... “ตายผ่อนส่ง” แบบจำใจ

งานวิจัย CDC USA พบว่า การสูบบุหรี่ 1 มวนต่อวันจะเท่ากับการหายใจเอาฝุ่น PM 2.5 (เฉลี่ย 24 ชั่วโมง) เข้าไป 22 มคก.ต่อ ลบ.ม. (Barkeley health formula)

กรณีในวันที่ค่าฝุ่นในกรุงเทพมหานครมีค่าสูงเกินมาตรฐานทุกพื้นที่ ยกตัวอย่างที่หนักสุดคือเขตลาดกระบังมีค่าฝุ่น PM2.5 สูงถึง 77.0 มคก.ต่อ ลบ.ม. เท่ากับประชาชนที่อาศัยในบริเวณเขตลาดกระบังใน กทม. สูบบุหรี่วันนี้เข้าไปถึง 3.5 มวนโดยไม่ได้ตั้งใจ

...

แต่ “ฝุ่น PM2.5” ที่หายใจเข้าไปเท่ากับดูดควันบุหรี่ 3.5 มวนนี้กลับมีอันตรายมากกว่าควันบุหรี่ เนื่องจากในเม็ดฝุ่นขนาดจิ๋วนี้มีสารพิษอยู่เป็นจำนวนมาก

ซึ่ง CDC (The Centers for disease Control and Prevention) ของประเทศอเมริกาแจ้งว่าในเม็ดฝุ่น PM2.5 มีสารประเภท Aliphatic/Chlori nated hydrocarbon, สาร Polycyclic Aro matic Hydrocarbon (PAHs) และสาร NitroPAH/ketones/Quinones

เหล่านี้เป็นสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซลและการเผาชีวมวลเป็นกลุ่มสารเคมีที่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ในโครงสร้างมีวงเบนซีนตั้งแต่ 2 วงขึ้นไปเรียงตัวเป็นเส้นตรง เป็นมุมหรือเป็นกลุ่ม โดยเฉพาะ PAHs หลายตัวมีฤทธิ์เป็นสารก่อการกลายพันธุ์หรือสารก่อมะเร็งในมนุษย์

นอกจากนี้ยังพบไอโลหะหนักทั้งสารหนู นิกเกิล โครเมียม... อีกด้วย

ตอกย้ำ... “ภัยสุขภาพตายผ่อนส่ง” การสูดดมเอาฝุ่น PM2.5 เข้าร่างกายมากๆ จะทำให้เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือดหรือโรคมะเร็งที่ปอด... ในระยะยาวได้

...

วิกฤติค่าฝุ่น “PM2.5” ในเขต กทม.และจังหวัดใกล้เคียงมีค่าสูงมากจนเกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรี่หามาตรการป้องกันอย่างเต็มกำลัง... ฉับพลัน ทันที...จะต้องนำแผนที่วางไว้มาใช้ทันทีไม่ใช่วางแผนแล้วนิ่ง เช่น มาตรการทำงานที่บ้าน ใช้รถสาธารณะ ห้องปลอดฝุ่น หยุดเผา ฯลฯ

อย่ารอเวลาให้ “อากาศเปิด”...รอ “ฝุ่นระบาย” ออกไปตามธรรมชาติเท่านั้น.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม