ปัจจุบันกระแสความนิยมมักเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามพฤติกรรมและความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่กำหนดทิศทางในอนาคตของหลายๆ ด้าน หนึ่งในนั้นก็คือ “อุตสาหกรรมความงาม” ที่กำลังก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับนวัตกรรมและเทรนด์ใหม่ๆ กัลเดอร์มา (Galderma) ในฐานะผู้นำด้านวิทยาการความงามที่มุ่งศึกษาวิจัยทิศทางตลาด เทรนด์ความงาม และความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกอยู่เสมอ ได้เปิดเผยถึงเทรนด์ใหม่ที่ต้องจับตามอง เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงามให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ขีดจำกัด นำไปสู่การริเริ่มโครงการ NEXT by Galderma
กัลเดอร์มา เปิด 6 เทรนด์ความงามแห่งอนาคต NEXT by Galderma
ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 45 ปี กัลเดอร์มามุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรมความงาม จึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกเรื่องราวของผิวที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรมความงามอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด จัดทำโครงการ NEXT by Galderma โดยร่วมมือกับเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำทั่วโลก สำรวจและรวบรวมอินไซต์ที่นำเสนอความเคลื่อนไหวและแนวโน้มที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตอุตสาหกรรมความงามของโลก จนพบเทรนด์ที่ต้องจับตามอง พร้อมคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2571 ตลาดเวชศาสตร์ความงามจะเติบโตเกือบสองเท่า และมีมูลค่าสูงถึง 25,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแบ่งปันและสร้างโอกาสในการเติบโตไปพร้อมกัน นี่คือ 6 เทรนด์ความงามที่ทุกคนต้องรู้
1. PROACTIVE BEAUTY ความสวยเชิงรุก
มุมมองการแก้ไขปัญหาริ้วรอยกำลังเปลี่ยนไปสู่การดูแลรักษาเชิงป้องกัน (Prejuvenation) ผู้คนเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเน้น “การป้องกัน” มากกว่า “การแก้ไข” ซึ่งแนวทางนี้เริ่มดูแลได้ตั้งแต่ที่บ้านด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การป้องกันผิวในแต่ละด้าน เช่น ครีมกันแดดหรือครีมบำรุงผิว ผู้บริโภคเริ่มสนใจโปรแกรมเสริมความงาม โดยมองว่าเป็นตัวช่วยในการป้องกันสัญญาณแห่งวัย นอกจากนี้ หลายๆ คนเริ่มตระหนักถึงบทบาทของคอลลาเจนที่ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย จึงหันมาสนใจโปรแกรมกลุ่ม Biostimulator ที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นสร้างคอลลาเจน รวมถึงผู้บริโภคจะวางแผนดูแลผิวตั้งแต่อายุน้อย เพื่อปกป้องผิวแต่เนิ่นๆ ก่อนที่ผิวจะเสื่อมสภาพตามอายุที่เพิ่มขึ้น และคงความอ่อนเยาว์ในระยะยาว
2. MINDFUL AESTHETICS ความงามอย่างใส่ใจ
หนึ่งในเทรนด์ของโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่องคือ การตระหนักถึงความยั่งยืนและความเป็นธรรมชาติ ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวทางนี้เกิดขึ้นกับโลกของความงามเช่นกัน ผู้คนไม่เพียงใช้ผลิตภัณฑ์ที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย หรือใช้ส่วนประกอบจากพืชปราศจากสารแต่งเติม รวมถึงมองหาเวชศาสตร์ความงามที่ให้ผลลัพธ์ที่มีความเป็นธรรมชาติ ดูผิวสวยและสุขภาพดี เช่น การรักษาที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสนใจแนวคิด Skinimalist โดยผู้หญิงถึง 2 ใน 3 ต้องการแต่งหน้าน้อยลงเพื่อให้ได้ลุคที่เน้นงานผิว
3. FAST AESTHETICS ความงามตามกระแส
โซเชียลมีเดียและการติดตามคนดังมีผลต่อความสนใจของผู้บริโภคมากขึ้น โดยพบว่าคนเจน Z และมิลเลนเนียลที่สนใจด้านความงามมักใช้โซเชียลมีเดียเพื่อติดตามดาราหรือคนดัง ซึ่งเหล่าคนดังจะเป็นผู้จุดประกายเทรนด์ความงามใหม่ๆ และสร้างไวรัลให้เทรนด์นั้นกลายเป็น Must-have เทรนด์ในชั่วข้ามคืน แต่กระแสก็อาจจางหายไปในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน
ตัวอย่างเทรนด์ความงามตามกระแส เช่น ริมฝีปากสไตล์รัสเซีย (Russian Lips), ดวงตาแบบ Fox Eyes และการศัลยกรรมเสริมบั้นท้ายสไตล์บราซิลเลียน ‘กระแสความงามที่มาไวไปไว’ สะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองหาความแปลกใหม่ แต่ในมุมของแพทย์ด้านความงาม เทรนด์นี้ยังถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งแพทย์จะต้องให้บริการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นหลัก ไม่ใช่การทำเพื่อสร้างความงามตามกระแส
4. BEAUTY FANDOM - แฟนดอมความสวย
ความหลงใหลในศิลปิน เซเลบริตี้ ไอคอนทางวัฒนธรรม หรืออนิเมะ รวมไปถึงการผสมผสานโลกดิจิทัลอย่างฟิลเตอร์ดิจิทัลเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง กลายเป็นอีกหนึ่งแรงกระตุ้นที่ส่งผลให้ผู้บริโภคอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมือนกับไอคอนที่ชื่นชอบ เช่น การปรับลุคตามแฟชั่น Barbiecore หรือ Fairycore การศัลยกรรมใบหูให้ดูเหมือนเอลฟ์ การศัลยกรรมแปลงโฉมเพื่อให้มีดวงตาขนาดใหญ่และใบหน้าแบนแบบ 2 มิติ แม้จะเป็นความต้องการเฉพาะกลุ่ม แต่เทรนด์นี้ยังมีการถกเถียงถึงขอบเขตความเหมาะสมและจริยธรรมในการให้บริการของแพทย์ด้านความงาม
5. EXPRESSIONALITY การแสดงออกถึงตัวตน
โลกกำลังก้าวไปสู่ยุคที่แฟชั่นและความงามเปิดกว้างมากขึ้น ไม่ถูกจำกัดด้วยเพศ วัฒนธรรม หรือค่านิยมดั้งเดิม ผู้คนส่งเสริมการแสดงอัตลักษณ์ความเป็นตัวเองมากขึ้น โดยจะเห็นว่าผู้ชายเริ่มให้ความสนใจเวชศาสตร์ความงามมากขึ้น ขณะที่ผู้หญิงกล้าฉีกกรอบทดลองปรับลุคในแบบที่แตกต่างจากมาตรฐานเดิม อย่างผู้หญิงตะวันตกบางกลุ่มอยากมีลักษณะใบหน้าที่คมชัดขึ้น จากเดิมที่เชื่อว่าเป็นลักษณะของผู้ชาย หลายๆ คนมองหาความงามในแบบที่เหมาะเป็นตัวเอง โดย 8 ใน 10 ของคนเจน Z และมิลเลนเนียล เชื่อว่านิยามของความงามที่สำคัญที่สุดคือ ‘การเป็นตัวของตัวเอง’ รวมถึงผู้บริโภคกล้าที่จะแสดงความงามที่ส่งเสริมเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และชาติพันธุ์ของตัวเอง
6. CANCELLING AGE ความงามที่ไม่จำกัดอายุ
ผู้คนไม่ได้กลัวความแก่อีกต่อไปหรืออีกนัยหนึ่ง คือ ผู้คนมีทัศนคติความงามตามช่วงวัยในแบบที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้ต้องการให้ตัวเองผิวเด็กลง แต่ต้องการคงสภาพผิวของใบหน้าและผิวองค์รวมให้ดูสุขภาพดีเหมาะกับแต่ละช่วงวัย จึงให้ความสำคัญกับการดูแลผิวในระยะยาว เริ่มหันมาสนใจหัตถการเสริมความงามที่ช่วยเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงจากภายใน เช่น การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
โดย 3 แนวทางที่สะท้อนการมาถึงของเวชศาสตร์ความงามที่ไร้อายุ ได้แก่
1) แนวคิดการคงสภาพผิว หลายๆ คนอยากมีวัย 50+ ในมุมมองใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องมีใบหน้าที่เต่งตึงดูอ่อนกว่าวัย แต่อยากให้ใบหน้ากระชับอย่างเป็นธรรมชาติ
2) ดูแลผิวหน้าอย่างเดียวไม่พอ แต่ดูแลผิวส่วนอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงอายุด้วย เช่น ผิวบริเวณลำคอ มือ และเข่า
3) ดูแลผิวแบบองค์รวม จากเดิมที่เน้นการรักษาผิวที่เน้นเฉพาะจุดไปสู่เน้นการรักษาผิวแบบครอบคลุม รวมถึงสนใจการผสมผสานหัตถการเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพในระยะยาว
เทรนด์เหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนถึงทิศทางของอุตสาหกรรมความงามในอนาคต แต่ยังสะท้อนให้เห็นทัศนคติด้านความงามของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้แบรนด์และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมความงามสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคในยุคที่ความงามเป็นมากกว่าแค่รูปลักษณ์ แต่สะท้อนถึงคุณค่า และตัวตนของแต่ละบุคคลด้วย