เด็กชายวัย 12 ปี เขียนจดหมายร้องขอความช่วยเหลือ กลัวตัวเองกับพี่สาวไม่ได้เรียนหนังสือ พยายามขายของหาเงินซื้ออุปกรณ์การเรียน

วันที่ 10 เม.ย. 68 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บริเวณสี่แยกไฟแดงกำนันหลัก อ.เมือง จ.ราชบุรี หลังได้รับจดหมายจาก "น้องต้นกล้า" ที่เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ เรื่องขาดอุปกรณ์การเรียน เพราะกลัวหาเงินไม่ทันมาซื้ออุปกรณ์การเรียนช่วงเปิดเทอม จนต้องขอร้องผู้เป็นแม่กับยาย มาเดินช่วยขายไส้กรอกกับหมูย่าง บริเวณสี่แยกไฟแดงกับพี่สาว เพื่อเก็บเงินสะสมไว้ซื้ออุปกรณ์การเรียน โดยมีใจความระบุว่า

"พี่ผู้สื่อข่าวครับ ผม ด.ช.ฤทวัช อายุ 12 ปี ผมกำลังเรียนอยู่อนุบาลเมืองราชบุรี และกำลังจะเปิดเทอมวันที่ 5 พฤษภาคม แต่ผมยังขาดกระเป๋าและรองเท้า ส่วนพี่สาวผมอายุ 13 ปี ยังไม่มีรองเท้านักเรียน เสื้อผ้า และกระเป๋านักเรียน ซึ่งผมกับพี่สาวได้มาช่วยแม่ขายของอยู่ตรงสี่แยกกำนันหลัก เพื่อเก็บเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียนที่ขาด แต่ใกล้เปิดเทอมแล้วแม่ก็ยังมีเงินไม่พอ ผมจึงขอความช่วยเหลือจากพี่ผู้สื่อข่าวด้วยครับ ซึ่งวันที่ 7 เมษายน เป็นวันเกิดของผม ผมจึงอยากได้รับความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว"

...

เมื่อผู้สื่อข่าวไปถึง จึงได้พบกับ ด.ช.ฤทวัช อายุ 12 ปี น้องต้นกล้า และ ด.ญ.บุยนุช หรือ น้องต้นตาล อายุ 13 ปี กำลังช่วย น.ส.บังอร อายุ 30 ปี ผู้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ย่างไส้กรอกอีสานกับหมูย่าง ทั้งย่าง จับผัก ใส่ถุง เพื่อเตรียมขายให้กับรถที่สัญจรผ่านไปมาอย่างตั้งใจ

หลังเตรียมของเสร็จ สองพี่น้องเดินหิ้วถุงไส้กรอกกับหมูย่าง ขายให้รถที่ติดไฟแดงกลางแดดแจ้งด้วยความขยันและตั้งใจ โดยทั้งไส้กรอกอีสานและหมูย่าง น้องจะขายในราคาถุงละ 20 บาท ด้วยลีลาการขายของน้องต้นตาล กับน้องต้นกล้า เป็นไปอย่างคล่องแคล่ว ยิ้มแย้ม แจ่มใส บวกมารยาทดี จนสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่สัญจรบนถนนเส้นนี้ จนขนาดบางรายให้ทิปน้องทั้งสอง ด้วยความเอ็นดูในความขยันและความน่ารัก

น้องต้นกล้า บอกกับทีมข่าวว่า ที่ต้องเขียนจดหมายถึงพี่นักข่าวให้เข้ามาช่วยเหลือ เพราะอยากให้ช่วยเรื่องอุปกรณ์การเรียน ที่ยังมีไม่ครบ เพราะแม่มีเงินไม่พอซื้อ ทั้งคู่กลัวว่าเปิดเทอมจะไม่มีอุปกรณ์ไปเรียนเหมือนกับเพื่อนๆ และกลัวจะไม่ได้เรียนหนังสือ ซึ่งน้องต้นกล้า กำลังศึกษาเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนแถวตัวเมืองราชบุรี โดยน้องต้นกล้ายังขาดรองเท้านักเรียน และชุดนักเรียน ส่วน น้องต้นตาล พี่สาว กำลังศึกษาเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนแถวเขตตัวเมืองราชบุรีเช่นกัน โดยยังขาดอุปกรณ์เป็นกระเป๋านักเรียน ชุดนักเรียน และถุงเท้า

ซึ่งก่อนหน้านี้ทางโรงเรียน ได้ให้น้องทั้งสองไปมอบตัว พร้อมซื้อชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน ซึ่งบางอย่างต้องเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียน แต่ทั้งคู่ก็ต้องผิดหวัง เพราะทางผู้เป็นแม่ไม่มีเงินพอจะซื้อให้ และบอกให้น้องทั้งคู่รอซื้อใกล้เปิดเทอม ทำให้น้องทั้งสองเกิดความพะวง กลัวจะไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์การเรียนและกลัวจะไม่ได้เรียนหนังสือ ทำให้น้องต้นกล้า และ น้องต้นตาล ขอผู้เป็นแม่และยาย มาช่วยขายไส้กรอกอีสานกับหมูย่าง ตามสี่แยกไฟแดง ใกล้ที่ผู้เป็นแม่เข็นรถมาย่างขาย เพื่อสะสมเงินนำไปซื้ออุปกรณ์การเรียนที่ขาด

น้องต้นกล้า บอกอีกว่า ตอนแรกผู้เป็นแม่และยายไม่อนุญาต เพราะเกรงจะเกิดอันตรายและความเสียหาย แต่ก็ทนความรบเร้าของสองพี่น้องไม่ไหว จึงยอมให้มาขายโดยมีการตั้งข้อแม้ 3 อย่าง คือ 1. ให้ขายแค่เฉพาะปิดเทอมเท่านั้น 2. ให้ขายถึงแค่ 3 โมงเย็นกลับถึงบ้านต้องอ่านหนังสือทบทวนทุกวัน 3. ช่วงสงกรานต์งดออกไปเล่นน้ำกับเพื่อนๆ ซึ่งน้องทั้งสองก็รับตามข้อเสนอ ทำให้สองพี่น้องดีใจที่จะได้มาขายของในช่วงปิดเทอม เพื่อหาเงินซื้ออุปกรณ์การเรียน ถึงแม้จะเหนื่อยและร้อนแต่เต็มใจทำเพื่อขอให้ได้เรียนหนังสือ ส่วนเรื่องเขียนจดหมาย ทางแม่ไม่รู้เรื่อง แต่ตัวน้องต้นกล้าพะวงจะขายของเก็บเงินไม่ทัน จึงเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ

ขณะที่ น.ส.บังอร ผู้เป็นแม่เปิดเผยว่า เธอรู้สึกงงและตกใจมาก ที่อยู่ๆ ผู้สื่อข่าวมาทำข่าว เธอไม่รู้เลยว่าลูกเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือพี่นักข่าว เรื่องขาดอุปกรณ์การเรียน ซึ่งเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูกทั้งหมดสองคน คือ น้องต้นตาล และ น้องต้นกล้า ขายของหาเช้ากินค่ำไปวันๆ ไม่มีเหลือเก็บมากพอ แต่ก็ยังหาเลี้ยงชีพและครอบครัวได้โดยไม่ต้องเป็นภาระของสังคม ซึ่งก่อนหน้านี้เธอประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง แต่มักจะถูกเบี้ยวค่าจ้างอยู่เป็นประจำ ทำให้เธอตัดใจเลิกอาชีพก่อสร้าง และหันมาตั้งร้านขายของกินบนรถเข็นแผงลอย

...

เปิดเทอมปีนี้ น้องต้นตาล ลูกสาวคนโตเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 1 ทำให้ต้องย้ายโรงเรียนและใช้เงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งสำหรับคนอื่นอาจดูน้อยนิด แต่สำหรับครอบครัวเธอถือว่ามากอยู่ ส่วนน้องต้นกล้า ลูกชายคนเล็ก ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก็ต้องซื้อชุดเรียนและอุปกรณ์การเรียนใหม่เช่นกัน เพราะของเดิมอย่างเช่น ชุดนักเรียนใส่ไม่ได้แล้ว ทำให้เธอยอมรับว่า หาเงินทันมาซื้อไม่ทันในวันมอบตัว แต่ก็รับปากลูกๆ ว่า เธอจะหาเงินมาซื้อให้ทันอย่างแน่นอน

น.ส.บังอร ผู้เป็นแม่บอกอีกว่า วันมอบตัวเธอไม่มีเงินไปมากพอ ที่จะซื้อชุดกับอุปกรณ์การเรียนให้น้อง ทำให้เธอเชื่อว่าหลังน้องไปมอบตัวที่โรงเรียน ทำให้น้องทั้งสองเกิดความพะวง กลัวเธอจะหาเงินมาซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ไม่ได้ ถึงได้มาขออนุญาตช่วยขายของบริเวณสี่แยกไฟแดง เพื่อหาเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียนที่ขาดให้ทันเปิดเทอม ซึ่ง น้องต้นตาล มีผลการเรียนเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.23 มีความสามารถพิเศษเล่นกีฬาวอลเลย์บอล และรำไทย มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติ ส่วน น้องต้นกล้า มีผลการเรียนเกรดเฉลี่ย 3.83 มีความสามารถพิเศษเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน และมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย

...

ตอนแรกเธอไม่เห็นด้วย และไม่ยอมให้น้องขาย แต่ก็ทนการรบเร้าของน้องไม่ไหว ทำให้เธอต้องตั้งข้อแม้ 3 อย่าง น้องทั้งสองก็รับปากตามข้อแม้ เธอจึงต้องอนุญาตให้น้องขายได้ โดยจะให้ขายช่วงสายถึง 3 โมงเย็นเท่านั้น ซึ่งเธอขอยืนยันว่า ไม่มีการบังคับน้องให้มาขายอย่างแน่นอน เพราะเธอรู้ว่าการมาเดินขายแบบนี้อันตรายและไม่ถูกต้อง ถ้าเลือกได้คงไม่อยากให้ลูกมาเดินขายของแบบนี้

ที่ผ่านมาช่วงวันปกติที่ลูกทั้ง 2 ไม่ได้มาช่วย เธอจะออกเร่ขายตามออฟฟิศ ห้างร้าน จนขายได้หมด ส่วนกำไรที่ได้ก็ต้องนำมาซื้อไส้กรอกอีสาน และหมูย่างขายต่อ อาศัยว่าขยันขายให้มีพอรายจ่ายในแต่ละวันเท่านั้น ส่วนไส้กรอกกับหมูที่เธอนำมาขาย เธอไม่ได้ทำเองแต่รับมาขายทำให้มีกำไรไม่มากนัก

"ถ้าเลือกได้ ก็อยากมีเงินเยอะๆ ไว้ให้ลูกทั้งสองได้เรียนหนังสือจนจบสูงๆ แต่ชีวิตของเธอและลูกเลือกเกิดไม่ได้ ทำให้ต้องขยันทำมาหากิน และสู้ชีวิตให้ถึงที่สุด เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวและลูก เพื่อไม่ให้เป็นภาระของใครและสังคม" น.ส.บังอร ผู้เป็นแม่กล่าว

สำหรับท่านใดที่ใจบุญและอยากช่วยเหลือ น้องต้นตาล พี่สาว และ น้องต้นกล้า สามารถช่วยอุดหนุนไส้กรอกอีสานและหมูย่างได้ที่สี่แยกไฟแดงกำนันหลัก อ.เมือง จ.ราชบุรี ตั้งแต่เวลา 08.00 - 15.00 น. ของทุกวัน หรือติดต่อสอบถามเบอร์โทร 094-6143566 (คุณบังอร) หรืออยากช่วยออกค่าอุปกรณ์การเรียนให้กับน้องๆ ได้ที่เลขบัญชีธนาคาร กสิกร เลขบัญชี 1938131461 ชื่อบัญชี น.ส.บังอร เย็นใจ.

...

(ติดตาม ข่าวทั่วไทย ทั้งหมดที่นี่)