ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความผันผวนทั้งด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ การรักษาสมดุลธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการปรับตัวในทุกมิติเป็นความท้าทายที่ทุกองค์กรต้องเผชิญ แต่สำหรับบริษัทซีพีเอฟ (CPF) การปรับตัวเป็นมากกว่าทางเลือก แต่เป็นดีเอ็นเอที่ฝังลึกในวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเห็นได้ชัดจากผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 ที่เติบโตอย่างโดดเด่น
กับความสำเร็จในเชิงตัวเลข ซีพีเอฟสามารถสร้างผลกำไรในไตรมาสแรกของปี 2568 ทะลุ 8,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 642% หรือพูดง่ายๆ คือ เติบโตมากกว่า 6 เท่า ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงทะลุเป้าที่บริษัทตั้งไว้ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการท่ามกลางสภาวะที่ท้าทาย ไม่ใช่แค่เพียงในไทย แต่ยังรวมไปถึงเครือข่ายธุรกิจทั่วโลกกว่า 10 ประเทศ ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในครั้งนี้
ยกระดับรอบด้าน พร้อมรับมือทุกความไม่แน่นอน
เมื่อมองลึกลงไปในกลยุทธ์ของซีพีเอฟ จะพบว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ได้เปิดเผยว่า การเพิ่มประสิทธิภาพและการลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทานเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างโดดเด่น นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน การระบาดของโรคไข้หวัดนกในหลายประเทศทั่วโลก และโรค ASF ในสุกร ส่งผลให้ปริมาณสัตว์ในตลาดลดลง ขณะที่ราคาวัตถุดิบยังไม่สูงจนเกินไป สถานการณ์นี้เอื้อให้ซีพีเอฟที่มีระบบป้องกันโรคในฟาร์มที่เข้มงวดสามารถรักษาเสถียรภาพในการผลิตได้ดีกว่าคู่แข่ง
ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือซีพีเอฟไม่ได้มองว่าสถานการณ์โรคระบาดเป็นเพียงวิกฤต แต่ยังเป็นโอกาสในการพิสูจน์ศักยภาพด้านความปลอดภัยทางชีวภาพที่บริษัทได้ลงทุนพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และสิ่งนี้ได้กลายเป็นจุดแข็งที่แยกบริษัทออกจากคู่แข่งในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้
...
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของระบบอุตสาหกรรม ซีพีเอฟได้ลงทุนอย่างหนักในด้านนวัตกรรมและระบบ IT เพื่อยกระดับการบริหารจัดการทั่วทั้งองค์กร การนำเทคโนโลยีมาใช้ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต แต่ยังช่วยในการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต
การลงทุนในระบบป้องกันโรคที่ทันสมัยเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ซีพีเอฟไม่ได้มองเพียงผลกำไรระยะสั้น แต่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในระยะยาว ระบบเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อวิกฤตโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
วางแผนกระจายความเสี่ยงพร้อมมองเป้าที่อนาคต
แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันคือหนึ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีความผันผวนมากที่สุด และมีการเปลี่ยนแปลงแทบจะรายวัน อย่างไรก็ตาม ซีพีเอฟได้ใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงเพื่อเอาชนะความแปรปรวนไม่แน่นอนของตลาด โดยซีพีเอฟได้เข้าลงทุนในหลากหลายประเทศ มุ่งเน้นการผลิตและจำหน่ายในประเทศนั้นๆ เป็นหลัก ทำให้บริษัทพึ่งพาการส่งออกเพียง 4-5% เท่านั้น กลยุทธ์นี้ทำให้ซีพีเอฟไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากปัญหาเรื่องภาษีของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากบริษัทส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพียง 0.3% ขณะที่การส่งออกส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปยังประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศในยุโรป นอกจากนี้ การที่ซีพีเอฟเน้นผลิตอาหารพื้นฐานที่มีราคาไม่แพงยังช่วยให้บริษัทสามารถรักษาความต้องการของตลาดได้แม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ ในช่วงที่โควิดกลับมาระบาดอีกครั้ง และโรคระบาดในสัตว์ยังคงเป็นปัญหาในหลายประเทศ ซีพีเอฟได้ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงรอบด้าน และมุ่งลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มชัดเจน พร้อมกับยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในทุกมิติ สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ที่มองไกลไปยังอนาคต
มั่นใจศักยภาพในการเติบโต
จากความสามารถในการยืนหยัดท่ามกลางความไม่แน่นอน และยังสร้างผลกำไรในระดับสูง ทำให้ซีพีเอฟมีความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจตลอดปี 2568 นี้ โดย นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ได้กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2568 จะดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินการต่างๆ ที่บริษัทได้วางรากฐานไว้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับสมดุลของอุตสาหกรรมจากความท้าทายในอดีต”
กล่าวได้ว่า ความสำเร็จของซีพีเอฟนับเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่ควรค่าแก่การถอดบทเรียนในเชิงธุรกิจเพื่อนำไปต่อยอดในการสร้างรากฐานให้แก่บริษัทสำหรับรับมือกับความไม่แน่นอนที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยซีพีเอฟได้แสดงให้เห็นว่าการเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤต การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัย คือกุญแจสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง