เมื่อพูดถึง "สภาพอากาศสุดขั้ว" หรือ "ปัญหามลภาวะ" หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ในความจริงแล้วทั้งสองปัจจัยนี้กำลังแทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันของเราอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น PM 2.5 ที่ปกคลุมฟ้าเมืองใหญ่ทุกต้นปี หรือคลื่นความร้อนที่ทำลายสถิติทุกปี จนกลายเป็นวิถีชีวิตใหม่ที่เราต้องปรับตัวให้ทัน

ล่าสุด รายงานความเสี่ยงระดับโลกประจำปี 2025 จาก World Economic Forum ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความเสี่ยงในระยะสั้นด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดคือปัญหาสภาพอากาศที่รุนแรงแบบสุดขั้วและปัญหามลภาวะ ซึ่งไม่ได้กระทบเพียงแค่สิ่งแวดล้อมเท่านั้นแต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ

ข้อมูลจากคลังข้อมูลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจเมื่อพบผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจหลอดเลือดและสมองอุดตันขาดเลือด โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังอักเสบ รวมกันกว่า 12 ล้านราย คิดเป็นอัตราป่วย 18,180 คนต่อแสนประชากร ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติแต่เป็นชีวิตของคนไทยที่กำลังต้องเผชิญกับผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

“กองทุนด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์จากการรวมพลัง 5 กองทุน

เมื่อปัญหาใหญ่เกินกว่าที่หน่วยงานใดจะแก้ไขได้คนเดียว การรวมพลังจึงกลายเป็นทางออก โดยในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมแมนดาริน สามย่าน เกิดเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งของประเทศไทย เมื่อ 5 กองทุนหลักของประเทศประกาศความร่วมมือจัดตั้ง "กองทุนด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ"

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยในการแถลงข่าวว่า "ที่ประชุมกองทุนหมุนเวียนได้มีมติร่วมกันในการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 5 กองทุน เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหานี้ โดยใช้กลไกกองทุนหมุนเวียน การบริหารแบบกึ่งรัฐ-กึ่งเอกชน และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่"

การรวมตัวครั้งนี้ประกอบด้วย สสส. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) ซึ่งแต่ละกองทุนมีบทบาทและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว จะสามารถสร้างพลังในการแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุมและยั่งยืน

ตั้งเป้า “ลำปาง” พื้นที่นำร่อง พร้อมวางแผนต่อยอดโมเดลบริหารจัดการที่สัมฤทธิ์ผล

หลังเดินหน้าสานความร่วมมือ คณะทำงานได้เลือกลำปางเป็นจังหวัดนำร่อง ซึ่งการตั้งเป้าหมายแรกที่ลำปางไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์และความจำเป็นเชิงพื้นที่อย่างชัดเจน ลำปางเป็นจังหวัดที่สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างครบถ้วน

"จ.ลำปางเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากถ่านหิน อ.แม่เมาะ ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต โดยเป็นจังหวัดที่มีผู้ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุดในประเทศ" นพ.พงศ์เทพ ให้ข้อมูลที่สะเทือนใจ

ข้อมูลที่น่าตกใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงข้ามคืน แต่เป็นผลสะสมจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าที่อำเภอแม่เมาะ ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารมลพิษต่างๆ สู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ

นอกจากปัญหาด้านสุขภาพแล้ว ลำปางยังเผชิญกับความท้าทายด้านอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ชะลอตัว และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจังหวัดแรกของประเทศ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ลำปางกลายเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการทดสอบแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการ โดยเป้าหมายที่ตั้งไว้คือการพัฒนาให้จังหวัดลำปางเป็น "เมืองสุขภาวะที่ดีและยั่งยืนภายใน 3 ปี (2568-2570)" ซึ่งหากสำเร็จแล้ว จะกลายเป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ

การทำงานในลำปางจะเน้นการใช้งานวิจัยและนวัตกรรม การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยี การสร้างระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืนและตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

5 กองทุนร่วมแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีบูรณาการครั้งประวัติศาสตร์

ภายหลังการประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ เวทีเสวนาพิเศษได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนจากทั้ง 5 กองทุนได้ร่วมกันฉายภาพวิสัยทัศน์และพันธกิจของแต่ละองค์กร สร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงเหตุผลและความมุ่งมั่นที่อยู่เบื้องหลังการผนึกกำลังครั้งสำคัญนี้

การเสวนาเริ่มต้นโดย นายอัมรินทร์ วงษ์พันธุ์ รองผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) ซึ่งได้ฉายภาพให้เห็นถึงวิวัฒนาการของกองทุนฯ จากเดิมที่เป็นเพียงเครื่องมือส่งเสริมการลดใช้พลังงานในยุควิกฤตการณ์น้ำมัน มาสู่วันนี้ที่บริบทของโลกเปลี่ยนไป บทบาทของกองทุนฯ จึงต้องก้าวไปไกลกว่าเดิมเพื่อเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย ส.กทอ. จะทำหน้าที่เป็น "ตัวเชื่อม" ระหว่างนโยบายระดับชาติสู่การปฏิบัติในท้องถิ่น นำนวัตกรรมสู่ประชาชน และผสานเป้าหมายด้านพลังงานเข้ากับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

จากมุมมองด้านพลังงาน เวทีได้ส่งต่อไปยังมิติขององค์ความรู้ โดย ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้ตอกย้ำว่า พันธกิจหลักคือการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ท่านเปรียบเทียบภารกิจนี้ว่าเหมือนการทำสงครามกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจึงจะได้รับชัยชนะ โดย สกสว. พร้อมที่จะนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ และใช้ "ลำปางโมเดล" เป็นสมรภูมิแรกในการพิสูจน์แนวทางและสร้างต้นแบบแห่งความสำเร็จ

ขณะที่วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาวิธีการแก้ปัญหา การนำไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่จริงคือบทบาทของ กองทุนสิ่งแวดล้อม ซึ่ง นางสาวจิตตินันท์ เรืองวีรยุทธ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้ชี้ว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมจุดแข็งและลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน โดยกองทุนฯ มีประสบการณ์จากการสนับสนุนโครงการต่างๆ มาแล้วมากมาย และจะมุ่งเน้นการทำงานที่ลงลึกถึงระดับชุมชนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้พวกเขาสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง พร้อมกันนี้ยังได้เน้นย้ำถึงอีกหนึ่งวิกฤตที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก นั่นคือการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงที่ต้องเร่งแก้ไขไปพร้อมกัน

ภาพของการจัดการสิ่งแวดล้อมได้ถูกขมวดเข้าสู่ประเด็นที่เป็นหัวใจสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ นั่นคือผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของมนุษย์ โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เปิดมุมมองอย่างเฉียบคมว่า สุขภาพที่ดีไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากสิ่งแวดล้อมป่วย ท่านวิเคราะห์ว่าต้นตอของปัญหาไม่ใช่แค่การขาดความรู้ แต่เป็น "ปัญหาสังคมป่วย" ที่มีรากจากระบบเศรษฐกิจแบบบริโภคนิยมซึ่งมีความซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ไขได้โดยลำพัง การรวมพลังของ 5 กองทุนที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่าระบบราชการทั่วไป จึงเป็นคำตอบที่จะทำให้เกิดการต่อสู้กับปัญหาที่ทรงพลังและมีโอกาสสำเร็จ

มุมมองด้านสาธารณสุขได้รับการตอกย้ำและขยายภาพให้เห็นถึงกลไกในระบบโดย ดร.นงลักษณ์ ยอดมงคล ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต้องขยายบทบาทจาก "การรักษา" ไปสู่ "การส่งเสริมและป้องกันโรค" ที่ต้นเหตุ เพราะปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมนั้นเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก สปสช. พร้อมที่จะใช้กลไกกองทุนสุขภาพในระดับพื้นที่ เครือข่ายภาคประชาชนที่แข็งแกร่ง และนโยบาย "Zero Carbon Health Policy" ในอนาคต เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพให้เดินหน้าไปพร้อมกันอย่างเต็มศักยภาพ

มองไปข้างหน้า จากลำปางสู่ประเทศไทยที่ยั่งยืน

ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดตั้งกองทุนและการเลือกพื้นที่นำร่อง แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญของการบริหารจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โดยมีการจัดทำ "แผนความร่วมมือระหว่างกองทุนเพื่อจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" (Collaborative Plan of Revolving funds for Environmental and Climate Actions) ที่มีความละเอียดและครอบคลุม ซึ่งทำให้การริเริ่มครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมของไทย จากการทำงานแบบแยกส่วนไปสู่การทำงานแบบบูรณาการ จากการมองปัญหาเป็นเรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ไปสู่การมองปัญหาเป็นเรื่องของสังคมทั้งระบบ

หากความร่วมมือครั้งนี้ประสบความสำเร็จในลำปาง ไม่เพียงแต่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนลำปางเท่านั้น แต่จะกลายเป็นต้นแบบสำหรับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่เผชิญกับปัญหาคล้ายคลึงกัน

ท้ายที่สุดแล้ว พลังของการบูรณาการครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การรวมเม็ดเงิน แต่คือการทวีคูณศักยภาพเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการลงทุนเพื่อสร้างมรดกแห่งอนาคต ซึ่งได้แก่สิ่งแวดล้อมอันสมบูรณ์และสุขภาวะที่ดีสำหรับคนไทยทุกคน