“มะเร็งปอด ไม่ใช่โรคของนักสูบ อีกต่อไปและไม่ได้อยู่แค่ในปอดของนักสูบ ผู้ไม่สูบก็เสี่ยงตายได้ ที่สำคัญมันกำลังกลายเป็น “ภัยเงียบ” ที่ซุ่มรอในทุกลมหายใจของคนยุคใหม่
ในอดีตเรามักเชื่อว่า “มะเร็งปอดเท่ากับคนสูบบุหรี่” แต่ในยุคปัจจุบัน งานวิจัยชี้ชัดว่า ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่เลยก็สามารถเป็นมะเร็งปอดได้ จาก “ปัจจัยเสี่ยงใหม่” ที่เพิ่มขึ้นอย่างเงียบงันในวิถีชีวิตประจำวัน
ไล่เรียงไปตั้งแต่...“ฝุ่น PM2.5” งานวิจัยจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และ IARC ระบุว่า PM2.5 เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสในระยะยาว จะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดได้เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่บางระดับ
ถัดมา...ควันบุหรี่มือสอง มือสาม น่าสนใจว่าคนใกล้ชิดผู้สูบบุหรี่ หรือในที่ทำงานที่ยังไม่ปลอดบุหรี่ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 20-30% แม้จะไม่สูบเอง
หรือ...แม้แต่ การสูบบุหรี่ไฟฟ้า ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยระยะยาวยืนยัน 100% แต่สารที่พบในน้ำยา เช่น โพรพิลีนไกลคอล, นิโคติน และฟอร์มัลดีไฮด์ ล้วนมีศักยภาพก่อกลายพันธุ์เซลล์ปอด
...
นอกจากนี้ ยังต้องกล่าวถึงการประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับแร่ใยหิน...ควันโลหะ เช่น ช่างเชื่อม ช่างทาสี คนงานเหมือง ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจสัมผัสสารเคมีก่อมะเร็งโดยไม่รู้ตัว
ตอกย้ำ “มะเร็งปอด (Lung Cancer)” คือหนึ่งในมะเร็งที่คร่าชีวิต “คนไทย” มากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มชายไทย รองจากมะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ใหญ่
พุ่งเป้าไปที่สถิติที่น่ากังวล ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ ประมาณ 24,000 รายต่อปี และเสียชีวิตปีละเกือบ 21,000 ราย
อัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย 87.5% ภายใน 5 ปี...เนื่องจากพบโรคในระยะลุกลาม และไม่แสดงอาการในช่วงแรก
เมื่อไม่นานมานี้ “เอ๋ พรทิพย์” ดาราสาวชื่อดัง เผยว่าตนเองป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะที่ 1 โดยแพทย์ให้ความเห็นว่ามลภาวะจาก PM2.5 มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้ โดยเฉพาะกับผู้หญิงเอเชีย จึงทำให้เกิดการตื่นตัวเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น
คำถามสำคัญมีว่า ทำไม “ผู้หญิงไทย” เป็นโรคมะเร็งปอดมากขึ้นหรืออย่างไร?
แพทย์หญิงจอมธนา ศิริไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เปิดมุมมองน่าสนใจกับ “ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐออนไลน์” ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงที่ปัจจุบันพบผู้หญิงไทยป่วยมะเร็งปอดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มที่คล้ายกับในหลายประเทศเอเชีย
ประเด็นสำคัญมีว่า...กลุ่มนี้มักตรวจพบว่าเป็น “มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (non–small cell)” ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยแวดล้อมและพันธุกรรมมากกว่าการสูบบุหรี่โดยตรง
อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยมะเร็งปอดในอดีตจะอยู่ที่ 60 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันเริ่มพบในช่วงอายุ 40–50 ปีมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับมลภาวะเป็นระยะเวลานาน
มะเร็งปอดในระยะแรกมักไม่มีอาการเฉพาะเจาะจง ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากมาพบแพทย์เมื่อโรคลุกลามแล้ว แต่อาการเบื้องต้นที่ควรสังเกต ได้แก่ ไอเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ไอมีเลือดปน แม้เพียงเล็กน้อย
เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หรือแน่นหน้าอก เสียงเปลี่ยน แหบ โดยไม่มีสาเหตุจากหวัด น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจหรือไม่มีสาเหตุชัดเจน
ข้างต้นนี้คือจุดสังเกตสำคัญ...หากมีอาการเหล่านี้ ต่อเนื่องนานเกิน 2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญในการเพิ่มโอกาสหายขาดจากโรคนี้
ถามต่อไปอีกว่า...“มะเร็งปอดในระยะแรกรักษาได้ไหม?”
“มะเร็งปอดระยะแรกมีโอกาสหายขาดได้ค่อนข้างสูงหากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยการรักษาหลักคือ การผ่าตัดนำก้อนมะเร็งออก ซึ่งในปัจจุบันสามารถทำได้ด้วยเทคนิคส่องกล้อง (VATS) ที่มีแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว ในบางกรณีอาจพิจารณาร่วมกับการให้เคมีบำบัดหรือฉายรังสีเพื่อป้องกันการกลับมาใหม่ของโรค”
แพทย์หญิงจอมธนา บอกอีกว่า หากผู้ป่วยมีข้อจำกัดในการผ่าตัด เช่น อายุมากหรือมีโรคประจำตัวรุนแรง ปัจจุบันก็มีทางเลือกการฉายรังสีแบบเฉพาะจุดความแม่นยำสูง (SBRT) ที่ได้ผลดีในบางกรณี
ดังนั้น...ยิ่งตรวจพบเร็ว โอกาสรักษาหายขาดยิ่งสูง และผลข้างเคียงจากการรักษาก็น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
...
ข้อแนะนำสำคัญเพื่อห่างไกล “มะเร็งปอด” คือต้องหมั่น สังเกตตัวเองและตรวจคัดกรองโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้มีประวัติสูบบุหรี่ คนทำงานโรงงาน คนอาศัยในพื้นที่ฝุ่น PM2.5 สูง
ที่สำคัญ...ต้องงดสูบบุหรี่ทุกชนิดและเลี่ยงบุหรี่มือสอง หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ฝุ่นสูงโดยไม่สวมหน้ากาก N95 และทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้รสเปรี้ยว
“มะเร็งปอดในยุคนี้ ไม่ได้เลือกเฉพาะคนสูบบุหรี่”ตอกย้ำ...อาการเงียบที่ไม่ควรละเลย สำคัญคือไอเรื้อรัง...ไอมีเลือดปน หายใจติดขัด...เสียงแหบ น้ำหนักลดอย่างไม่มีสาเหตุ เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอกเฉพาะตอนหายใจลึก ข้อสำคัญคืออาการเหล่านี้มัก “เกิดเมื่อโรคเข้าสู่ระยะลุกลาม” แล้ว
“ทุกคนที่หายใจอยู่ในสภาพแวดล้อมเป็นพิษ” จงอย่าชะล่าใจเมื่อไม่มีอาการ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย...รัฐควรเร่งส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในกลุ่มเสี่ยง ควบคู่กับการควบคุมมลพิษฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง เพื่อหยุดยั้งภัยเงียบ ก่อนที่มันจะกลายเป็น “มหันตภัยสุขภาพถาวรของคนไทย”
“มะเร็งปอด” ภัยเงียบ...แฝงตัวในอากาศที่เราสูดเข้าไปทุกวัน.
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม